มาดูกันต่อในเรื่องเนื้อหาบทเรียนที่ครูสรุปให้อ่าน
ตอนนี้เป็นเกี่ยวกับเรื่องของศาสนาซิกซ์
ศาสนาซิกข์
1. ลักษณะสำคัญของศาสนาซิกข์คืออะไร
1.1 เป็นศาสนาที่รวมเอาจุดเด่นของศาสนาฮินดูและศาสนาอิสลาม
มาไว้เป็นอันเดียวกัน
1.2 ถือเอาคัมภีร์เป็นศาสดาแทน
1.3 ศาสนานี้ถือว่าพระเจ้ามีองค์เดียว ไม่เป็นพระเจ้าของศาสนาใด
โดยเฉพาะแต่เป็นสากล ทรงพระนามว่า "วาเฮคุรุ" พระองค์ไม่มี
ลักษณะเหมือนคนดังพระเจ้าของฮินดู ไม่มีรัก ไม่มีชัง ดังพระเจ้า
ของอิสลามหรือคริสต์ ทรงเป็นสัตยเทพ ทรงความเป็นเอก เป็นอนันตะ
ทรงสถิตอยู่ทั่วไป ทรงมีพระกรุณาในสรรพสัตว์เท่ากัน
2. ประวัติความเป็นมาของศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกข์ หรือสิกข์ เกิดในประเทศอินเดีย เป็นศาสนาใหม่
เกิดเมื่อ พ.ศ. 2012 โดยคิดตามปีที่เกิดของคุรุนานักผู้เป็นปฐมศาสดานี้
คำว่าซิกข์ เป็นภาษาปัญจาบี ตรงกับภาษาบาลีว่า สิกขะ และตรงกับภาษา
สันสกฤตว่า ศิษยะ แปลว่าศิษย์หรือผู้ศึกษาเล่าเรียน เพราะฉะนั้นชาวซิกข์
ก็คือผู้เป็นศิษย์ของคุรุหรือศาสดาของศาสนาซิกข์ทุกองค์ ศาสนาซิกข์เกิด
ในช่วงที่ศาสนิกของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูกับศาสนิกของศาสนาอิสลาม
เผชิญหน้ากัน มีปัญหากระทบกระทั่งจนฆ่ากันอยู่เสมอ ทำให้นานักผู้มีจิตใจ
สูง ทนไม่ไหวได้คิดหาทางที่จะนำความสงบสุขคืนมา จนเป็นเหตุให้เกิด
ศาสนาซิกข์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นศาสนาซิกข์จึงเป็นศาสนาที่ประนีประนอม
ศาสนาต่างๆ ในอินเดีย โดยเฉพาะระหว่างศาสนาฮินดูกับศาสนาอิสลาม
ศาสนาซิกข์มีคำสอนที่ตั้งขึ้นใหม่แล้วยังนำคำสอนดีเด่นจากศาสนาต่างๆ
จากศาสนาฮินดูและศาสนาอิสลามมาเป็นคำสอนด้วย ส่วนไม่ดีก็ตัดทิ้งไป
เช่นเรื่องการถือชั้นวรรณะ ความมีกิเลสของพระเจ้าเป็นต้น โดยให้ใหม่ว่า
ทุกคนเป็นพี่น้องกันไม่แตกต่างกันเพราะมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน
ดังคำสอนที่ว่า พระเจ้ามีหลายพระนามเช่น พระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ
และนิรเภา เป็นต้น พระองค์เป็นพระเจ้าของมนุษยชาติทั้งมวล มิได้ผูกขาด
ว่าเป็นพระเจ้าของฮินดู พระเจ้าของมุสลิม หรือของศาสนาใด ทรงประทับ
อยู่ทุกแห่ง แต่ทรงชอบประทับอยู่ในใจของคน
3. ศาสดาคนแรกของศาสนาซิกข์ คือ ใคร
ท่านนานัก
4. ประวัติของศาสดาคนแรก โดยสรุป
ผู้ให้กำเนิดศาสนาซิกข์ คือ คุรุนานัก นานักเกิด ณ หมู่บ้านตัลวันทิ
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ปัจจุบันเรียกว่า "นังกานา สาหิพ" ทางทิศตะวันตก
เฉียงใต้เมืองละฮอร์ บนฝั่งแม่น้ำราวี ประเทศปากีสถาน เกิดเมื่อวันที่
15 เมษายน พ.ศ. 2012 ตระกูลเป็นฮินดู วรรณะพราหมณ์ บิดาชื่อกุล
หรือเมห์ตากัลยาดาส มารดาชื่อตริปตะ มีฐานะยากจน มารดาเป็น
ผู้เคร่งครัดในศาสนามาก ส่วนบิดาเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยเงินเดือนต่ำ
คอยรับใช้ผู้ว่าราชการเมือง
เมื่อนานักเจริญวัยอายุได้ 7 ขวบ ก็ได้รับการศึกษาในสำนักของครู
ที่เป็นมุสลิม กล่าวว่านานักเป็นคนมีสติปัญญาและช่างคิดอ่านตั้งแต่
อยู่ในวัยเด็ก สามารถแสดงปัญญาความสามารถไต่ถามความรู้เรื่อง
พระเจ้าต่อครูอาจารย์ ได้ศึกษาศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู มีความรู้
แตกฉานในคัมภีร์พระเวท ต่อมาอีก 2 ปี ได้ศึกษาภาษาเปอร์เซีย
(อิหร่าน)เพื่อเรียนรู้ลัทธิคำสอนของโซโรอัสเตอร์ ผู้เป็นศาสดาของ
ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ทำให้นานักสามารถแสดงวาทะโต้ตอบหลัก
ศาสนากับคณาจารย์ผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
นานักเป็นคนมีนิสัยใจคอกว้างขวาง โอบอ้อมอารี แม้ไม่ใช่เป็นคนรวย
ชอบแบ่งปันสิ่งของแก่ผู้อื่น จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ใฝ่การ
ศึกษาเรื่องศาสนาอย่างมากไม่ชอบเป็นนักรบหรือค้าขาย เพราะมี
ความมุ่งมั่นที่จะใช้หลักศาสนาเข้าแก้ไขสังคมที่แตกแยก พยายาม
ที่จะค้นหาคำสอน เปรียบเทียบคำสอน และแก้ไขคำสอนให้ใช้ได้
เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น
เมื่ออายุ 14 ปี ได้สมรสกับหญิงผู้เป็นกุลสตรีชาวตัลวันทิชื่อ สุลัขนี
เมื่อแต่งงานแล้วประมาณ 10 ปี มีบุตร 2 คน คือ ศรีจันท และ
ลักษมิทาส ปรากฏว่าชีวิตสมรสช่วงหลังๆ หาความสุขได้ยาก เพราะ
นานักและภรรยามีนิสัยคนละแบบ นานักชอบความสงบ แต่ภรรยา
ชอบสนุกแบบโลกียวิสัย จนในที่สุดนานักจึงตัดสินใจหนีภรรยาและ
ลูกออกไปหาความสงบทางใจในป่า เมื่ออายุ 36 ปี
เมื่อนานักได้เข้าไปอยู่ในป่าเพื่อเข้าสมาธิหาความสงบทางจิตได้ไม่นาน
วันหนึ่งเมื่อได้อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด จิตใจปลอดโปร่ง ได้นั่ง
สมาธิหาความสงบ ขณะที่นั่งสงบอยู่นั้นนานักได้ประสบการณ์ทางจิตว่า
ได้ดื่มน้ำทิพย์ถ้วยหนึ่งจากพระเจ้า ข้อความในคัมภีร์ครันถะได้กล่าวเอา
ไว้ว่า พระเจ้าได้ประทานน้ำทิพย์ถ้วยหนึ่งซึ่งนานักได้รับด้วยความสำนึก
ในพระคุณ แล้วพระเจ้าได้รับสั่งกับนานักว่า "เราจะอยู่กับเจ้า เราจะทำให้
เจ้ามีความสุขสงบและจะทำทุกคนที่นับถือเราในเจ้ามีความสุขไปด้วย
เจ้าจงออกจากที่แห่งนี้ไป จงไปข้างหน้า นึกถึงเรา สั่งสอนคนทั้งหลาย
เช่นเดียวกับที่เจ้ากระทำอยู่ จงทำโลกให้สะอาด ระลึกถึงการท่องบ่น
นามของเราไว้เป็นนิตย์ จงเป็นผู้มีเมตตา เป็นผู้สะอาดบูชาและกระทำใจ
ให้เป็นสมาธิ ต่อไปเจ้าจงเป็นคุรุ (ครู) ของคนทั้งหลาย" นานักได้รับ
ประสบการณ์ทางจิตดังกล่าว ก็เกิดความมั่นใจในตนเอง ทั้งโสมนัสเป็น
อย่างยิ่ง และได้ชื่นชมกับประสบการณ์นั้น โดยอยู่ในป่าต่ออีก 3 วัน
แล้วจึงได้เดินทางออกมา
5. หลักคำสอนสำคัญๆในศาสนาซิกข์ มีอะไรบ้าง
หลักคำสอนในศาสนาซิกข์ที่สำคัญ คือ
1) องค์ไตรรัตน์ 3 ประการ
2) ศีล 5 ประการ
3) หลักธรรมประจำชีวิตหรือศีล 21 ประการ
4) หลักปฏิบัติสำหรับผู้ที่จะเข้าถึงสุขนิรันดรหรือนิรวาณ
6. เป้าหมายสูงสุดของศาสนาซิกข์ คือ อะไร
ศาสนาซิกข์มีจุดหมายปลายทางสูงสุดของชีวิต เป็นความสุข
ที่แท้จริงและนิรันดร คือ ความกลมกลืนเข้ากับชีวิตของ
พระเจ้าหรือการได้รับพระมหากรุณาจากพระเจ้า
7. ศาสนาซิกข์มีวิธีการอย่างไรที่จะไปถึงเป้าหมาย
ต้องบูชาพระเจ้าสวดเพลงสรรเสริญพระนามและการฟังพระนาม
ของพระเจ้า ชาวซิกข์เชื่อว่าชีวิตในโลกนี้ยังต้องเกิดอีกหลาย
ครั้งตราบที่ยังไม่สิ้นกิเลส
8. ศาสนาซิกข์มีนิกายที่สำคัญอยู่ 2 นิกาย คือ อะไร
1) นิกายนานักปันถิหรือสหัชธรี
2) นิกายขาลสาหรือสิงห์
9. ศาสนาซิกข์มีคัมภีร์ที่สำคัญคือ อะไร
ครันถะ สาหิบ คำว่าครันถะ ตรงกับภาษาบาลี ว่า คันถะ แปลว่า
คัมภีร์ ส่วนคำว่า สาหิบ แปลว่า พระ ดังนั้นครันถะ สาหิบ แปลว่า
พระคัมภีร์นั่นเอง ฝรั่งเรียกคัมภีร์ครันถะ สาหิบ ว่า The Lord Book
ก็คัมภีร์ครันถะ สาหิบ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1) อาทิครันถ์สาหิบ แปลว่าพระคัมภีร์แรก คัมภีร์นี้คุรุอรชุน
ศาสดาองค์ที่ 5 ได้จัดทำขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2147 โดยรวบรวมคำสอน
ของคุรุองค์ก่อนๆ ตั้งแต่คุรุนานักจนถึงตัวท่านเอง รวมทั้ง
คำสอนของนักปราชญ์ในศาสนาฮินดูคือ รามนันทะ และ
นักปราชญ์ในศาสนาอิสลาม คือ กาบีร์ อยู่ด้วย
2. ทสมครันถะ สาหิบ แปลว่าพระคัมภีร์ที่ 10 คัมภีร์นี้คุรุโควินทสิงห์
ศาสดาองค์ที่ 10 เป็นผู้จัดทำขึ้นโดยการรวบรวมคำสอนของคุรุองค์ก่อนบางองค์และของตัวท่านเองไว้รวมกัน
10. หลักคำสอนที่สำคัญ
1) องค์ไตรรัตน์หรือองค์ 3 ประการ อันเป็นสิ่งสูงสุดในศาสนาซิกข์
คือ พระเจ้า, ศรี(หลักธรรม), อกาล (ความแน่นอนของพระเจ้า)
2) ศีล 5 ประการ (5ก) คือ
1. เกศ คือ เอาผม หนวด เคราไว้ จะโกนไม่ได้
2. กังฆา คือ จะต้องมีหวีเสียบหรือปักไว้ที่ผมเสมอ ขาดไม่ได้
3. กรา คือ จะต้องมีมีดพกประจำตัว (บางทีใช้กำไลเหล็กสวมข้อมือ)
4. กิรปาน คือ จะต้องมีดาบประจำตัว
5. กฉา คือ จะต้องมีกางเกงขาสั้นโดยนุ่งไว้ข้างในประจำ
3) ปฏิบัติเพิ่มเติมอีก 4 ประการ คือ
1. ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มน้ำเมา
2. ไม่บริโภคเนื้ออย่างอิสลาม
3. ไม่ตัดผม ไม่โกนหนวด
4. ไม่แต่งกายหรือไม่ร่วมประเพณีกับมุสลิม
11. นักบวชเกี่ยวกับนักบวชในศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกข์เป็นศาสนาที่ไม่มีนักบวชหรือพระแม้ว่าจะมีวัดก็ตาม
ท่านคุรุอมรทาสได้ประกาศให้มีวัดซิกข์ทุกหมู่บ้านที่มีศาสนิกชน
ของซิกข์ และได้กำหนดเขตการเผยแผ่ศาสนาซิกข์ในอินเดียออก
เป็น 22 เขต แต่ละเขตมีซิกข์ผู้มีศรัทธาในศาสนาอย่างแท้จริง
หนึ่งคนเป็นผู้รับผิดชอบในเขตนั้นๆ
ผู้ทำหน้าที่สอนศาสนาซิกข์ไม่มีเครื่องแบบ แม้นักบุญผู้หลุดพ้น
ก็มิได้ถือกฎแห่งพรหมจรรย์ในวัดซิกข์ ใครก็สามารถทำหน้าที่
ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ ผู้คงแก่เรียนในคัมภีร์ก็เป็น
ผู้อ่านคัมภีร์เท่านั้น ส่วนผู้ร้องเพลงสวดก็มิได้ถือว่าเป็นพระสงฆ์
ผู้ปฏิบัติกิจทางศาสนาเรียกว่าผู้ทำงานซึ่งทำด้วยความสมัครใจ
ผู้หญิงในศาสนาซิกข์จึงทำงานทางศาสนาได้เท่าเทียมผู้ชาย
และอาจมีส่วนร่วมในพิธีกรรมทางศาสนาได้ทุกอย่าง เช่น
พิธีปฏิญาณตนเป็นซิกข์ พิธีแต่งงาน พิธีศพ เป็นต้น สำหรับ
การอ่านคัมภีร์ทางศาสนาถือว่าเป็นหน้าที่ปกติของทุกคน
13. นิกายในศาสนาซิกข์ มี 2 นิกายคือ
1. นิกายนานักปันถิ หรือสหัชธรี นิกายนี้เน้นไปในทางนับถือ
คุรุนานัก จึงดำรงชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ตามรอยคุรุนานัก
นิกายนี้โกนผมโกนหนวดเคราได้
2. นิกายขาลสา หรือ สิงห์ นิกายนี้นับถือหนักไปทางคุรุโควินทสิงห์
ผู้ที่นับถือนิกายนี้จะไว้ผมตลอดทั้งหนวดเครายาว โดยไม่ตัด
หรือโกนตลอดชีวิต
* * * * * *
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศาสนาและหน้าที่พลเมือง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศาสนาและหน้าที่พลเมือง แสดงบทความทั้งหมด
27 ส.ค. 2554
23 ส.ค. 2554
ศาสนาและหน้าที่พลเมือง08
ตอนนี้เป็นคำถาม-คำตอบ เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
1. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เกิดที่ไหน ในช่วงเวลาใด
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เกิดในประเทศอินเดียเมื่อประมาณ 1000 ปี
ก่อนพุทธศักราช เป็นศาสนาที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก
2. คัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีกี่ส่วน
คัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1. ศรุติ เป็นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง ไม่มีผู้แต่ง
แต่เป็นการค้นพบของฤๅษีทั้งหลาย เป็นของที่มีอยู่ชั่วนิรันดร
เป็นลมหายใจของพระผู้เป็นเจ้า คัมภีร์พระเวททั้ง 4 หรือ
ที่เรียกว่า ไตรเพท ได้แก่
1.1 ฤคเวท เป็นคัมภีร์เก่าแก่ที่สุด เป็นบทเพลงสวดหรือมนตร์สรรเสริญ
อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าและเทวี
1.2 ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่เป็นคู่มือประกอบพิธีกรรมของพราหมณ์
ซึ่งเป็นบทร้อยแก้วที่อธิบายวิธีประกอบพิธีกรรม บวงสรวงและ
การทำพิธีบูชายัญ
1.3 สามเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทสวดมนต์ ซึ่งเป็นบทร้อยกรอง
มีทั้งหมดถึง 1,549 บท โดยนำมาจากฤคเวทเป็นส่วนมาก ที่แต่ง
ขึ้นใหม่ มีประมาณ 78 บท จะใช้สำหรับสวดในพิธีถวายน้ำโสม
และขับกล่อมเทพเจ้า
1.4 อถรรพเวท เป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นใหม่ในปลายสมัยพราหมณ์
เป็นคาถาอาคมมนต์ขลังศักดิ์สิทธิ์ สำหรับทำพิธีขับไล่เสนียดจัญไร
และอัปมงคลให้กลับมาเป็นสวัสดิมงคล นำความชั่วร้ายไปบังเกิดแก่ศัตรู
2. สมฤติ เป็นคัมภีร์ขั้นสอง เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดกันสืบมา มีการแต่ง
ตำราประกอบขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนในการศึกษาคัมภีร์พระเวท
เรียกว่า คัมภีร์เวทางคศาสตร์
3. หลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่สำคัญมีอยู่ 3 ประการ
ได้แก่อะไร
หลักอาศรม 4 หลักปรมาตมัน และหลักโมกษะ
4. เป้าหมายสูงสุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ อะไร
ความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพรหมหรือปรมาตมัน
5. สัญลักษณ์สำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เรียกว่าอะไร
เรียกว่า "โอม" คือ เครื่องหมายอักษรเทวนาครี
6. นิกายสำคัญๆ ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มี 3 นิกาย ได้แก่อะไรบ้าง
นิกาย-ไวษณวะ นิกายไศวะ และนิกายศักติ
7. คำว่า ปรมาตมัน คือ อะไร
คือวิญญาณดั้งเดิมหรือความจริงสูงสุดของโลกและชีวิต
หรือจักรวาล ซึ่งเรียกว่า พรหมัน
8. อาตมัน หรือ ชีวาตมัน คือ อะไร
คือ เป็นส่วนอัตตาย่อย หรือวิญญาณย่อย ซึ่งปรากฏแยกออกมา
อยู่ในแต่ละคน ดังนั้นการที่อาตมัน หรือชีวาตมันย่อยนี้เข้าไป
รวมกับพรหมัน หรือ ปรมาตมันได้จึงจะพ้นจากทุกข์ ไม่มี
การเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
9. โยคะ คืออะไร
คือ การบำเพ็ญเพียรทำกรรมดี และประกอบพิธีกรรมต่างๆ
แบ่งเป็น 4 อย่างใหญ่คือ
1. กรรมโยคะ ทำกรรมดี
2. ภักติโยคะ มีความภักดีในเทพเจ้า
3. ชญานโยคะ การศึกษาจนเข้าใจพระเวท อย่างถูกต้อง
4. ราชมรรค (ราชโยคะ) เป็นทางปฏิบัติเกี่ยวกับการฝึกทางใจ
มุ่งบังคับใจให้อยู่ในอำนาจด้วยการบำเพ็ญโยคะกิริยา
ผู้ปฏิบัติเรียกว่า ราชโยคิน
10. หลักอาศรม 4 หมายถึง อะไร
หมายถึง ขั้นตอนการดำเนินชีวิตของชาวฮินดู เฉพาะที่เป็นพราหมณ์
วัยต่างๆ โดยกำหนดเกณฑ์อายุคนไว้ 100 ปี แบ่งช่วงของการใช้ชีวิต
ไว้ 4 ตอน ตอนละ 25 ปี ได้แก่
อาศรมที่ 1 (ปฐมวัย) เรียกว่า พรหมจรรย์อาศรม เริ่มตั้งแต่อายุ
8-25 ปี ผู้เข้าสู่อาศรมนี้ เรียกว่า พรหมจารี ภายในช่วงระยะเวลา
25 ปีแรกนี้ พรหมจารีผู้อยู่ในพรหมจรรย์อาศรม มีหน้าที่ดังนี้
1) ตั้งใจเรียนวิชาการในวรรณะของตน
2) เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครูอาจารย์
3) ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศ
4) ไม่คบกับเพศตรงกันข้าม
5) เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วต้องทำพิธีเกศนตสันสกา (ตัดผม)
และพิธีคุรุทักษิณามอบสิ่งตอบแทนครูอาจารย์
อาศรมที่ 2 (มัชณิมวัย) เรียกว่า คฤหัสถาศรม อยู่ในช่วงอายุ
25-50 ปี มีหน้าที่ดังนี้
1) ช่วยพ่อแม่ทำงาน
2) แต่งงานมีครอบครัว
3) ประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัว
อาศรมที่ 3 (ปัจฉิมวัย) เรียกว่า วานปรัสถาศรม อยู่ในช่วง
อายุ 50-75 ปี มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติดังนี้
1) มอบสมบัติให้บุตรธิดา
2) บำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม
3) ออกบวชปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า วานปรัสถ์
4) ทำประโยชน์แก่สังคมด้วยการเป็นครูอาจารย์
อาศรมที่ 4 คือ สันยัสตาศรม อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป
สำหรับผู้ปรารถนาความหลุดพ้น (โมกษะ) จะออกบวชเป็น สันยาสี
เมื่อบวชแล้วจะสึกไม่ได้ บำเพ็ญสมาธิแสวงหาความหลุดพ้นตามห
ลักกรรมโยคะต่อไป
11. หลักปรมาตมัน คือ อะไร
หมายถึง สิ่งยิ่งใหญ่อันเป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่างในสากลโลก
ซึ่งเรียกชื่อสิ่งนี้ว่า พรหม ปรมาตมันกับพรหมจึงเป็นสิ่งเดียวกัน
และมีลักษณะดังต่อไปนี้
1) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง
2) เป็นนามธรรม สิงสถิตอยู่ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเรียกว่าอาตมัน
เป็นสิ่งที่มอง ไม่เห็นด้วยตา
3) เป็นศูนย์รวมแห่งวิญญาณทั้งปวง
4) สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในสากลโลกล้วนเป็นส่วนย่อย
ที่แยกออกมาจากพรหม
5) เป็นตัวความจริง (สัจธรรม) สิ่งเดียว (โลกและสิ่งอื่นๆ ล้วนเป็นมายา
ภาพลวงที่มีอยู่ชั่วครั้งคราวเท่านั้น)
6) เป็นผู้ประทานญาณ ความคิดและความสันติ
7) เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในสภาพเดิมตลอดกาล
12. หลักโมกษะ คือ อะไร
เป็นหลักความดีสูงสุด ดังคำสอนของศาสนาฮินดูสอนว่า
"ผู้ใดรู้แจ้งในอาตมันของตนว่าเป็นหลักอาตมันของโลกพรหมแล้ว
ผู้นั้นย่อมพ้นจากสังสาระการเวียนว่ายตายเกิด และจะไม่ปฏิสนธิอีกส"
หลักโมกษะประกอบด้วยสาระสำคัญ 2 ประการ คือ
1. การนำอาตมันเข้าสู่ปรมาตมัน ด้วยการปฏิบัติธรรมใดๆ เพื่อให้
วิญญาณของตนเข้ารวมกับปฐมวิญญาณ เรียกว่า "เข้าถึงโมกษก"
คือความหลุดพ้นจากวัฏสงสารแห่งชีวิต
2. วิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงโมกษะ ได้เสนอแนะหลักปฏิบัติที่สำคัญไว้
3 ประการ คือ กรรมมรรค (กรรมโยคะ) ชยานมรรค (ชยานโมคะ)
และ ภักติมรรค (ภักติโยคะ)
13. ตรีมูรติ หมายถึงสิ่งใด
ศาสนาในยุคมหากาพย์ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เทพเจ้า
ที่สำคัญในยุคมหากาพย์ ได้แก่ พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์
เทพเจ้าทั้ง 3 องค์นี้รวมเรียกว่า ตรีมูรติ1 และหน้าที่ของเทพเจ้า
แต่ละองค์มีดังต่อไปนี้
1. พระพรหม เป็นผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก
2. พระศิวะ เทพเจ้าแห่งการทำลายและเทพเจ้าแห่งการฟ้อนรำ
มีหลายชื่อ เช่น อิศวร รุทระ และนาฏราช เป็นต้น พระศิวะเป็น
เทพเจ้าสูงสุดในไศวนิกาย ประทับอยู่ที่ภูเขาไกรลาส มีโคนันทิ
เป็นพาหนะ และมีศิวลึงค์เป็นเครื่องหมายของพลังแห่งการสร้างสรรค์
ลักษณะของพระศิวะเป็นรูปฤๅษี มี 4 กร นุ่งห่มหนังสัตว์ ประทับ
นั่งบนหนังเสือโคร่ง ถืออาวุธตรีศูล ธนู และคทาหัวกะโหลกมนุษย์
ห้อยพระศอด้วยประคำร้อยด้วยกะโหลก มีงูเป็นสังวาล พระศอมี
สีดำสนิท กลางพระนลาฏมีพระเนตรดวงที่ 3 ซึ่งถ้าพระศิวะลืม
พระเนตรดวงที่ 3 เมื่อใด ไฟจะไหม้โลกเมื่อนั้น เหนือพระเนตรดวง
ที่ 3 มีรูปพระจันทร์ครึ่งซีก
พระศิวะมีพระชายาชื่ออุมา หรือ ปารวตีเทวี
3. พระวิษณุหรือพระนารายณ์ เทพเจ้าผู้รักษาและคุ้มครองโลก
พระนารายณ์ประทับอยู่ในเกษียรสมุทร มีพระยาอนันตราช
เป็นบัลลังก์ ทรงครุฑเป็นพาหนะ มีพระชายาชื่อ ลักษมี
ผู้เป็นเทพีแห่งความงาม ผู้อำนวยโชคลาภ ความมั่งคั่ง
และผู้มีใจเมตตาปราณี
14. นิกายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีกี่นิกายอะไรบ้าง
1. นิกายไวษณวะหรือไวษณพ เชื่อในการอวตารของพระนารายณ์ว่า
พระนารายณ์อวตาร 24 ครั้ง เพื่อช่วยมนุษย์โลกในคราวทุกข์เข็ญ
นิกายนี้เคารพบูชาพระราม พระกฤษณะ หนุมาน และพระพุทธเจ้า
นิกายไวษณวะนี้จะมีรอยเจิมหน้าผากเป็น 3 จุด เป็นเครื่องหมาย
แสดงความเคารพ พระวิษณุ
2. นิกายไศวะนิกายหรือนิกายที่นับถือพระศิวะ นิยมใช้มูลเถ้าสีขาว
หรือสีเทา เขียนเป็นเส้นนอนตรงซ้อนกัน 3 เส้นที่หน้าผาก จุดหมาย
สูงสุดของผู้นับถือนิกายไศวะ คือ โมกษะ หรือ การบรรลุความหลุดพ้น
โดยการเข้าถึงความเป็นเอกภาพกับพระศิวะ
3. นิกายศักติ นิกายนี้นับถือมเหสีของจอมเทพ 3 องค์ คือ
พระนางสุรัสวดี มเหสีของพระพรหม พระนางอุมา
มเหสีของพระศิวะ และพระนางลักษมี มเหสีของพระวิษณุ
คำว่าศักติ แปลว่า อำนาจ หรือสมรรถนะ หรือ พลัง หมายถึง
พลังที่จะนำความสำเร็จดังประสงค์มาให้ผู้ที่นับถือศักติ
โดยมีความเชื่อว่าทุกสิ่งในโลกล้วนแต่มีของคู่กัน เช่น
มืด-สว่าง สุข-ทุกข์ เป็นต้น ดังนั้น เมื่อมีเทพฝ่ายชาย
ก็จะต้องมีเทพฝ่ายหญิงเป็นของคู่กัน 3
15. เทพองค์อื่นที่คนในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ให้ความนับถือได้แก่
พระอินทร์ ราชาของเทพและเทวดา
พระอัคนี เทพแห่งไฟ
พระวรุณ เทพแห่งฝน
พระยม เทพของความตาย
* * * * *
1. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เกิดที่ไหน ในช่วงเวลาใด
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เกิดในประเทศอินเดียเมื่อประมาณ 1000 ปี
ก่อนพุทธศักราช เป็นศาสนาที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก
2. คัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีกี่ส่วน
คัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1. ศรุติ เป็นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง ไม่มีผู้แต่ง
แต่เป็นการค้นพบของฤๅษีทั้งหลาย เป็นของที่มีอยู่ชั่วนิรันดร
เป็นลมหายใจของพระผู้เป็นเจ้า คัมภีร์พระเวททั้ง 4 หรือ
ที่เรียกว่า ไตรเพท ได้แก่
1.1 ฤคเวท เป็นคัมภีร์เก่าแก่ที่สุด เป็นบทเพลงสวดหรือมนตร์สรรเสริญ
อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าและเทวี
1.2 ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่เป็นคู่มือประกอบพิธีกรรมของพราหมณ์
ซึ่งเป็นบทร้อยแก้วที่อธิบายวิธีประกอบพิธีกรรม บวงสรวงและ
การทำพิธีบูชายัญ
1.3 สามเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทสวดมนต์ ซึ่งเป็นบทร้อยกรอง
มีทั้งหมดถึง 1,549 บท โดยนำมาจากฤคเวทเป็นส่วนมาก ที่แต่ง
ขึ้นใหม่ มีประมาณ 78 บท จะใช้สำหรับสวดในพิธีถวายน้ำโสม
และขับกล่อมเทพเจ้า
1.4 อถรรพเวท เป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นใหม่ในปลายสมัยพราหมณ์
เป็นคาถาอาคมมนต์ขลังศักดิ์สิทธิ์ สำหรับทำพิธีขับไล่เสนียดจัญไร
และอัปมงคลให้กลับมาเป็นสวัสดิมงคล นำความชั่วร้ายไปบังเกิดแก่ศัตรู
2. สมฤติ เป็นคัมภีร์ขั้นสอง เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดกันสืบมา มีการแต่ง
ตำราประกอบขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนในการศึกษาคัมภีร์พระเวท
เรียกว่า คัมภีร์เวทางคศาสตร์
3. หลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่สำคัญมีอยู่ 3 ประการ
ได้แก่อะไร
หลักอาศรม 4 หลักปรมาตมัน และหลักโมกษะ
4. เป้าหมายสูงสุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ อะไร
ความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพรหมหรือปรมาตมัน
5. สัญลักษณ์สำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เรียกว่าอะไร
เรียกว่า "โอม" คือ เครื่องหมายอักษรเทวนาครี
6. นิกายสำคัญๆ ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มี 3 นิกาย ได้แก่อะไรบ้าง
นิกาย-ไวษณวะ นิกายไศวะ และนิกายศักติ
7. คำว่า ปรมาตมัน คือ อะไร
คือวิญญาณดั้งเดิมหรือความจริงสูงสุดของโลกและชีวิต
หรือจักรวาล ซึ่งเรียกว่า พรหมัน
8. อาตมัน หรือ ชีวาตมัน คือ อะไร
คือ เป็นส่วนอัตตาย่อย หรือวิญญาณย่อย ซึ่งปรากฏแยกออกมา
อยู่ในแต่ละคน ดังนั้นการที่อาตมัน หรือชีวาตมันย่อยนี้เข้าไป
รวมกับพรหมัน หรือ ปรมาตมันได้จึงจะพ้นจากทุกข์ ไม่มี
การเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
9. โยคะ คืออะไร
คือ การบำเพ็ญเพียรทำกรรมดี และประกอบพิธีกรรมต่างๆ
แบ่งเป็น 4 อย่างใหญ่คือ
1. กรรมโยคะ ทำกรรมดี
2. ภักติโยคะ มีความภักดีในเทพเจ้า
3. ชญานโยคะ การศึกษาจนเข้าใจพระเวท อย่างถูกต้อง
4. ราชมรรค (ราชโยคะ) เป็นทางปฏิบัติเกี่ยวกับการฝึกทางใจ
มุ่งบังคับใจให้อยู่ในอำนาจด้วยการบำเพ็ญโยคะกิริยา
ผู้ปฏิบัติเรียกว่า ราชโยคิน
10. หลักอาศรม 4 หมายถึง อะไร
หมายถึง ขั้นตอนการดำเนินชีวิตของชาวฮินดู เฉพาะที่เป็นพราหมณ์
วัยต่างๆ โดยกำหนดเกณฑ์อายุคนไว้ 100 ปี แบ่งช่วงของการใช้ชีวิต
ไว้ 4 ตอน ตอนละ 25 ปี ได้แก่
อาศรมที่ 1 (ปฐมวัย) เรียกว่า พรหมจรรย์อาศรม เริ่มตั้งแต่อายุ
8-25 ปี ผู้เข้าสู่อาศรมนี้ เรียกว่า พรหมจารี ภายในช่วงระยะเวลา
25 ปีแรกนี้ พรหมจารีผู้อยู่ในพรหมจรรย์อาศรม มีหน้าที่ดังนี้
1) ตั้งใจเรียนวิชาการในวรรณะของตน
2) เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครูอาจารย์
3) ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศ
4) ไม่คบกับเพศตรงกันข้าม
5) เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วต้องทำพิธีเกศนตสันสกา (ตัดผม)
และพิธีคุรุทักษิณามอบสิ่งตอบแทนครูอาจารย์
อาศรมที่ 2 (มัชณิมวัย) เรียกว่า คฤหัสถาศรม อยู่ในช่วงอายุ
25-50 ปี มีหน้าที่ดังนี้
1) ช่วยพ่อแม่ทำงาน
2) แต่งงานมีครอบครัว
3) ประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัว
อาศรมที่ 3 (ปัจฉิมวัย) เรียกว่า วานปรัสถาศรม อยู่ในช่วง
อายุ 50-75 ปี มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติดังนี้
1) มอบสมบัติให้บุตรธิดา
2) บำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม
3) ออกบวชปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า วานปรัสถ์
4) ทำประโยชน์แก่สังคมด้วยการเป็นครูอาจารย์
อาศรมที่ 4 คือ สันยัสตาศรม อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป
สำหรับผู้ปรารถนาความหลุดพ้น (โมกษะ) จะออกบวชเป็น สันยาสี
เมื่อบวชแล้วจะสึกไม่ได้ บำเพ็ญสมาธิแสวงหาความหลุดพ้นตามห
ลักกรรมโยคะต่อไป
11. หลักปรมาตมัน คือ อะไร
หมายถึง สิ่งยิ่งใหญ่อันเป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่างในสากลโลก
ซึ่งเรียกชื่อสิ่งนี้ว่า พรหม ปรมาตมันกับพรหมจึงเป็นสิ่งเดียวกัน
และมีลักษณะดังต่อไปนี้
1) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง
2) เป็นนามธรรม สิงสถิตอยู่ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเรียกว่าอาตมัน
เป็นสิ่งที่มอง ไม่เห็นด้วยตา
3) เป็นศูนย์รวมแห่งวิญญาณทั้งปวง
4) สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในสากลโลกล้วนเป็นส่วนย่อย
ที่แยกออกมาจากพรหม
5) เป็นตัวความจริง (สัจธรรม) สิ่งเดียว (โลกและสิ่งอื่นๆ ล้วนเป็นมายา
ภาพลวงที่มีอยู่ชั่วครั้งคราวเท่านั้น)
6) เป็นผู้ประทานญาณ ความคิดและความสันติ
7) เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในสภาพเดิมตลอดกาล
12. หลักโมกษะ คือ อะไร
เป็นหลักความดีสูงสุด ดังคำสอนของศาสนาฮินดูสอนว่า
"ผู้ใดรู้แจ้งในอาตมันของตนว่าเป็นหลักอาตมันของโลกพรหมแล้ว
ผู้นั้นย่อมพ้นจากสังสาระการเวียนว่ายตายเกิด และจะไม่ปฏิสนธิอีกส"
หลักโมกษะประกอบด้วยสาระสำคัญ 2 ประการ คือ
1. การนำอาตมันเข้าสู่ปรมาตมัน ด้วยการปฏิบัติธรรมใดๆ เพื่อให้
วิญญาณของตนเข้ารวมกับปฐมวิญญาณ เรียกว่า "เข้าถึงโมกษก"
คือความหลุดพ้นจากวัฏสงสารแห่งชีวิต
2. วิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงโมกษะ ได้เสนอแนะหลักปฏิบัติที่สำคัญไว้
3 ประการ คือ กรรมมรรค (กรรมโยคะ) ชยานมรรค (ชยานโมคะ)
และ ภักติมรรค (ภักติโยคะ)
13. ตรีมูรติ หมายถึงสิ่งใด
ศาสนาในยุคมหากาพย์ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เทพเจ้า
ที่สำคัญในยุคมหากาพย์ ได้แก่ พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์
เทพเจ้าทั้ง 3 องค์นี้รวมเรียกว่า ตรีมูรติ1 และหน้าที่ของเทพเจ้า
แต่ละองค์มีดังต่อไปนี้
1. พระพรหม เป็นผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก
2. พระศิวะ เทพเจ้าแห่งการทำลายและเทพเจ้าแห่งการฟ้อนรำ
มีหลายชื่อ เช่น อิศวร รุทระ และนาฏราช เป็นต้น พระศิวะเป็น
เทพเจ้าสูงสุดในไศวนิกาย ประทับอยู่ที่ภูเขาไกรลาส มีโคนันทิ
เป็นพาหนะ และมีศิวลึงค์เป็นเครื่องหมายของพลังแห่งการสร้างสรรค์
ลักษณะของพระศิวะเป็นรูปฤๅษี มี 4 กร นุ่งห่มหนังสัตว์ ประทับ
นั่งบนหนังเสือโคร่ง ถืออาวุธตรีศูล ธนู และคทาหัวกะโหลกมนุษย์
ห้อยพระศอด้วยประคำร้อยด้วยกะโหลก มีงูเป็นสังวาล พระศอมี
สีดำสนิท กลางพระนลาฏมีพระเนตรดวงที่ 3 ซึ่งถ้าพระศิวะลืม
พระเนตรดวงที่ 3 เมื่อใด ไฟจะไหม้โลกเมื่อนั้น เหนือพระเนตรดวง
ที่ 3 มีรูปพระจันทร์ครึ่งซีก
พระศิวะมีพระชายาชื่ออุมา หรือ ปารวตีเทวี
3. พระวิษณุหรือพระนารายณ์ เทพเจ้าผู้รักษาและคุ้มครองโลก
พระนารายณ์ประทับอยู่ในเกษียรสมุทร มีพระยาอนันตราช
เป็นบัลลังก์ ทรงครุฑเป็นพาหนะ มีพระชายาชื่อ ลักษมี
ผู้เป็นเทพีแห่งความงาม ผู้อำนวยโชคลาภ ความมั่งคั่ง
และผู้มีใจเมตตาปราณี
14. นิกายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีกี่นิกายอะไรบ้าง
1. นิกายไวษณวะหรือไวษณพ เชื่อในการอวตารของพระนารายณ์ว่า
พระนารายณ์อวตาร 24 ครั้ง เพื่อช่วยมนุษย์โลกในคราวทุกข์เข็ญ
นิกายนี้เคารพบูชาพระราม พระกฤษณะ หนุมาน และพระพุทธเจ้า
นิกายไวษณวะนี้จะมีรอยเจิมหน้าผากเป็น 3 จุด เป็นเครื่องหมาย
แสดงความเคารพ พระวิษณุ
2. นิกายไศวะนิกายหรือนิกายที่นับถือพระศิวะ นิยมใช้มูลเถ้าสีขาว
หรือสีเทา เขียนเป็นเส้นนอนตรงซ้อนกัน 3 เส้นที่หน้าผาก จุดหมาย
สูงสุดของผู้นับถือนิกายไศวะ คือ โมกษะ หรือ การบรรลุความหลุดพ้น
โดยการเข้าถึงความเป็นเอกภาพกับพระศิวะ
3. นิกายศักติ นิกายนี้นับถือมเหสีของจอมเทพ 3 องค์ คือ
พระนางสุรัสวดี มเหสีของพระพรหม พระนางอุมา
มเหสีของพระศิวะ และพระนางลักษมี มเหสีของพระวิษณุ
คำว่าศักติ แปลว่า อำนาจ หรือสมรรถนะ หรือ พลัง หมายถึง
พลังที่จะนำความสำเร็จดังประสงค์มาให้ผู้ที่นับถือศักติ
โดยมีความเชื่อว่าทุกสิ่งในโลกล้วนแต่มีของคู่กัน เช่น
มืด-สว่าง สุข-ทุกข์ เป็นต้น ดังนั้น เมื่อมีเทพฝ่ายชาย
ก็จะต้องมีเทพฝ่ายหญิงเป็นของคู่กัน 3
15. เทพองค์อื่นที่คนในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ให้ความนับถือได้แก่
พระอินทร์ ราชาของเทพและเทวดา
พระอัคนี เทพแห่งไฟ
พระวรุณ เทพแห่งฝน
พระยม เทพของความตาย
* * * * *
ศาสนาและหน้าที่พลเมือง07
ตอนนี้มาดูคำถาม-คำตอบเกี่ยวศาสนาคริสต์ กันบ้าง
1. ประวัติของพระเยซู โดยสรุป
พระเยซูมีเชื้อชาติยิว คริสต์ศาสนาถือว่า วันสมภพ คือ
25 ธันวาคม ค.ศ. 1 (เป็นปีที่ 1 แห่งคริสต์ศักราช ) ณ หมู่บ้านเบธเลเฮม
แคว้นยูดา ในดินแดนปาเลสไตน์ (อิสราเอล ในปัจจุบัน) เป็นช่วงที่
อาณาจักรโรมันเจริญถึงขีดสุดภายใต้การนำของพระเจ้าซีซาร์
พระเยซู มารดาชื่อ มาเรีย บิดาชื่อ โจเซฟ เป็นคนเชื้อสายยิว
อาศัยอยู่ที่เมืองนาซาเรธ ในสมัยนั้นมีคำทำนายว่า "กษัตริย์แห่ง
ชนชาติยิวได้บังเกิดขึ้นแล้ว" กษัตริย์เฮร็อค ผู้ครองแคว้นยูดาย
ทรงทราบจึงรับสั่งให้ประหารชีวิตเด็กชายที่เกิดในเมืองเบธเลเฮม
ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น โจเซฟได้พาภรรยาและบุตรหลบหนี จนกระทั่ง
กษัตริย์เฮร็อคเสียชีวิตลง พระเยซูก็ เติบโตขึ้นและด้วยความสนใจใฝ่
หาความรู้ทางศาสนา เมื่ออายุ 30 ปี ได้พบกับนักบุญจอห์น ผู้เผยแพร่
ศาสนายิวและได้รับศีลจุ่ม (แบพติสต์ ) จากจอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน
นับแต่นั้นมาพระเยซูก็ได้ชื่อว่า พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ)
พระเยซูคริสต์ เริ่มประกาศคำสอนโดยรับเอาความเชื่อศาสนายิวเป็น
หลักปฏิบัติและเป็นคำสอนที่สำคัญอันหนึ่งเรียกว่า "เทศนาบนภูเขา"
พระเยซูส่งสาวกออกไปเผยแพร่คำสอนอันถือเป็นพระวจนะของพระเจ้า
จนได้รับความนิยมจากชาวยิว และเชื่อว่าพระเยซูเป็นเมสสิอาห์ของยิว
ต่อมานักบวชชาวยิวกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับพระเยซูถือว่ามาปฏิวัติศาสนา
และเป็นผู้สร้างคำสอนใหม่ให้ศาสนา จึงพยายามหาทางกำจัดโดยกล่าวหา
พระเยซูว่าพยายามซ่องสุมผู้คน เพื่อ กบฎชาวโรมันอันเป็นที่มาของการถูก
ทหารโรมันจับตรึงไม้กางเขนจนถึงแก่ชีวิต เมื่ออายุ 33 ปี โดยประกาศ
คำสอนได้เพียง 3 ปี เท่านั้น พวกสาวกที่เลื่อมใสพระเยซูก็ตั้งเป็นศาสนา
ใหม่ขึ้น เรียกว่า " ศาสนาคริสต์ "
2. แนวคิดสำคัญๆในศาสนาคริตส์ มีอะไรบ้าง
1. จุดหมายปลายทาง สวรรค์ (อยู่กับพระเจ้า)
2. วิธีปฏิบัติ ทำตามบัญญัติของพระเจ้าซึ่งพระเยซูย่อลงมาเหลือ
2 ข้อบ้าง 5 ข้อบ้าง 6 ข้อบ้างและเติมอีกข้อหนึ่งคือให้ทานแก่คนอนาถา
3. ชีวิตในโลกนี้ มีเพียงครั้งเดียว
4. ศาสนาคริตส์เชื่อว่ามนุษย์ตายแล้ววิญญาณยังไม่ไปไหน ยังคงอยู่ที่
ศพคอยวันพิพากษาและจะกลับเข้าสู่ร่างศพฟื้นออกจากหลุมฝังศพ
เมื่อเทพบริวารของพระเจ้าเป่าแตรแล้วพากันไปฟังคำพิพากษาจาก
พระเจ้า ถ้าใครมีบาป ก็จะตกนรกชั่วนิรันดร์ ถ้าใครมีความดีมาก
ก็ได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้า
3. ไตรเอกานุภาพ หรือ ตรีเอกภาพ หมายถึงสิ่งใด
1. พระเจ้า หรือพระบิดา (The Father)
2. พระบุตร (The son)
3. พระจิต (The Holy spirit)
4. การทำความเคารพบูชาต่อไม้กางเขน มีวิธีการอย่างไร
การทำความเคารพบูชาต่อไม้กางเขน วิธีทำคือ
1. ยกมือขวาแตะหน้าผาก กล่าวว่า ขอเดชะพระบิดา
2. ลดมือขวาลงมาแตะหน้าอก กล่าวว่า พระบุตร
3. ยกมือขวาไปแตะที่บ่าซ้าย แล้วย้ายมาบ่าขวา กล่าวว่า พระจิต
4. ประสานมือไว้ที่หน้าอกแล้วกล่าวว่า อา เมน (A Men) ซึ่งหมายความว่า
ขอบุญกุศลนี้จงบันดาลให้พระเจ้าสถิตอยู่กับข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อ
5. ศาสนาคริสต์ (Christianity) เป็นศาสนาแห่งความรัก เพราะเหตุใด
เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ ทรงรักประชากรของพระองค์ ทรงสร้าง
สัตว์ต่างๆขึ้นมาเพื่อรับใช้ เป็นอาหารแก่มนุษย์ และทรงให้มนุษย์
ลงสู่นรกเมื่อไม่ศรัทธาในพระเจ้า ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่นับถือ
ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและทุกสิ่ง
รวมถึงมนุษย์โดยใช้เวลาเพียง 6วัน
6. คัมภีร์สำคัญในศาสนาคริสต์ เรียกว่า อะไร
พระคริสตธรรมคัมภีร์หรือคัมภีร์ไบเบิล (The Bible)
7. ศาสนาคริสต์มีรากฐานมาจากศาสนาใด
ศาสนายูดาห์ (หรือศาสนายิว)
8. ความเชื่อเกี่ยวกับการมาเกิดของพระเยซู มีว่าอย่างไร
โดยสรุป มีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า
ที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ จากหญิงพรหมจรรย์ (สาวบริสุทธิ์) โดย
ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาปโดย
การสิ้นพระชนม์ที่กางเขน และทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายใน
สามวันหลังจากนั้น และเสด็จสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์
ของพระบิดา ผู้ที่เชื่อและไว้วางใจในพระองค์จะได้รับการอภัยโทษบาป
9. นิกายสำคัญๆในศาสนาคริสต์ มีกี่นินาย
มี 3 นิกาย คือ
1. นิกายโรมันคาทอลิกแปลว่าสากล เป็นนิกายดั้งเดิมที่ยึดมั่นใน
หลักคำสอนของพระเยซูคริสต์เคารพพระนางมารีย์และนักบุญต่างๆ
ภายในโบสถ์ของนิกายนี้จะมีรูปเคารพพระเยซูคริสต์ พระแม่มารีย์
และนักบุญต่างๆ มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่นครรัฐวาติกัน มี
พระสันตะปาปาเป็นประมุข โดยถือว่านักบุญเปโตรหรือนักบุญปีเตอร์
คือพระสันตะปาปาพระองค์แรก มีนักบวช เรียกว่าบาทหลวง และผู้อุทิศตน
ทำงานให้ศาสนจักรถ้าเป็นชายเรียกว่าบราเดอร์ (brother) หญิงเรียกว่า
ซิสเตอร์ (sister) ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า "คริสตัง"
2. นิกายออร์โธด็อกซ์แปลว่าถูกต้อง นับถือในประเทศทางฝั่งยุโรป
ตะวันออก เช่น กรีซ รัสเซีย โดยแยกตัวออกไปจากศาสนจักรตะวันตก
เพราะไม่อยากอยู่ภายใต้อำนาจของสันตะปาปาซึ่งมีอำนาจมากสูงกว่า
กษัตริย์ ในสมัยนั้น โดยที่มิได้เปลี่ยนแปลงข้อความเชื่อ ข้อความเชื่อ
ของนิกายออทอดอกซ์เหมือนกับข้อความเชื่อของนิกายโรมันคาทอลิก
มีอัครบิดรเป็นประมุข นิกายออทอดอกซ์ยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
คริสตจักร (หรือศาสนจักร) ตะวันออก
3. นิกายโปรเตสแตนต์ แยกตัวมาจากนิกายโรมันคาทอลิกในช่วง
คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นนิกายที่ถือว่าศรัทธาของแต่ละคนที่มีต่อ
พระเจ้าสำคัญกว่าพิธีกรรม ซึ่งยังแตกย่อยออกเป็นหลายร้อยคณะ
เนื่องจากมีความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และการปฏิบัติในพิธีกรรม
นิกายนี้ไม่มีนักบวช เชื่อว่าทุกคนสามารถเข้าถึงพระเจ้าได้โดยมิต้อง
อาศัยบาทหลวงและถือว่าพระเยซูได้ทรงไถ่บาปแก่ศาสนิกทุกคนไป
เมื่อถูกตรึงกางเขนแล้ว นิกายนี้มีเพียงไม้กางเขนเป็นเครื่องหมาย
แห่งศาสนา ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า "คริสเตียน"
10. ศาสนาคริสต์ได้เข้ามาในประเทศไทย เมื่อใด
ศาสนาคริสต์ได้เข้ามาในประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา ประมาณปี พ.ศ. 2127
นิกายโรมันคาทอลิกเป็นนิกายแรกที่เข้ามา โดยคณะโดมินิกัน,
คณะฟรังซิสกัน, คณะเยซูอิต
11. พิธีกรรมสำคัญในศาสนาคริสต์ ได้แก่อะไรบ้าง
พิธีกรรมสำคัญในศาสนาคริสต์ที่สำคัญๆอยู่ 7 พิธี
เรียกว่า พิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์(The Seven Sacraments) มีดังนี้
1. ศีลล้างบาป (Baptism) หรือการรับบัพติสมา เป็นพิธีแรกที่คริสตชน
ต้องรับ โดยบาทหลวงจะใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์เทลงบนศีรษะพร้อม
เจิมน้ำมันคริสมาที่หน้าผาก
2. ศีลอภัยบาป (Confirmation) เป็นการสารภาพบาปกับพระเจ้า
โดยผ่านบาทหลวง บาทหลวงจะเป็นผู้ตักเตือนสั่งสอนไม่ให้
ทำบาปนั้นอีก และทำการอภัยบาปให้ในนามพระเจ้า
3. ศีลมหาสนิท (Eucharist) เป็นพิธีกรรมรับศีลโดยรับขนมปัง
และเหล้าองุ่นมารับประทาน โดยความเชื่อว่าพระกายและ
พระโลหิตของพระเยซู
4. ศีลกำลัง เป็นพิธีรับศีลโดยการเจิมหน้าผาก เพื่อยืนยันความเชื่อ
ว่าจะนับถือศาสนาคริสต์ตลอดไปและได้รับพระพรของพระจิตเจ้า
ทำให้เข้มแข็งในความเชื่อมากขึ้น
5. ศีลสมรส (Martrimony) เป็นพิธีประกอบการแต่งงาน โดยบาทหลวง
เป็นพยาน เป็นการแสดงความสัมพันธ์ว่าจะรักกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่
6. ศีลบวช (Ordination) สงวนไว้เฉพาะผู้ที่จะบวชเป็นบาทหลวง
และเป็นชายเท่านั้น
7. ศีลเจิมคนไข้ (Anointing of the Sick) เป็นพิธีเจิมคนไข้โดยบาทหลวง
จะเจิมน้ำมันลงบนหน้าผากและมือทั้งสองข้างของผู้ป่วย ให้ระลึกว่า
พระเจ้าจะอยู่กับตนและให้พลังบรรเทาอาการเจ็บป่วย
สำหรับนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายออร์ทอดอกซ์ จะมีพิธีกรรมทั้ง
7 พิธี แต่สำหรับนิกายโปรเตสแตนต์ จะมีเพียง 3 พิธีคือพิธีบัพติสมา,
พิธีมหาสนิท และ พิธีสมรสศักดิ์สิทธิ์
12. ศาสนาคริสต์เกิดหลังพุทธศาสนา กี่ปี
543 ปี
13. หลักตรีเอกานุภาพ (Trinity)หรือ ตรีเอกภาพ หมายถึง อะไร
ความเชื่อว่าพระเจ้าทรง มี 3 ภาค คือ
1. พระบิดา (The Father) หมายถึง พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในสวรรค์
ผู้ทรงสร้างโลก สรรพสิ่ง และมนุษย์
2. พระบุตร (The Son) หมายถึง พระเยซูคริสต์ซึ่งมีฐานะเป็นพระบุตร
ของพระเจ้าผู้เสด็จมาในโลกเพื่อไถ่บาปแก่มนุษย์
3. พระจิต หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ (The Holy Spirit) หมายถึง
พลังอำนาจของพระเจ้าอันเป็นพลังแห่งความรักที่เชื่อมพระบิดา
กับพระบุตรเข้าด้วยกัน และเป็นพลังอำนาจของพระเจ้าที่ทรง
แสดงต่อมนุษย์เพื่อดลบันดาลให้มนุษย์กลับใจมาประพฤติปฏิบัติ
ตามแนวทางของพระเจ้าพระคริสต์ธรรมใหม่
14. หลักแห่งความรัก (Love หรือ Agape) ในศาสนาคริสต์เป็นอย่างไร
หลักความรักเป็นหลักคำสอนทางจริยธรรมที่สำคัญที่สุดของ
ศาสนาคริสต์ ความรักในที่นี้มิใช่ความรักอย่างหนุ่มสาวอันประกอบ
ด้วยกิเลสตัณหาและอารมณ์ปรารถนาอันเห็นแก่ตัว แต่หมายถึง
ความเป็นมิตรและความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ความรักแบ่ง
เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ความรักระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และ
ความรักระหว่างมนุษย์กับมนุษย์
15. หลักความศรัทธา 5 ประการในศาสนาคริสต์ มีอะไรบ้าง
1. ศรัทธาว่าพระเจ้าคือพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว
2. ศรัทธาว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน
3. ศรัทธาว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า
4. ศรัทธาว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
5. ศรัทธาในแผ่นดินสวรรค์หรืออาณาจักรของพระเจ้าที่กำลังจะมาถึง
16. สัญลักษณ์สำคัญของศาสนาคริสต์ คือ สิ่งใด
ในคริสต์ศาสนาทุกนิกายใช้เครื่องหมายเหมือนกันคือ ไม้กางเขน
เดิมไม้กางเขนเป็นเครื่องมือสำหรับประหารชีวิตนักโทษในปาเลสไตน์
คริสต์ศาสนาจึงถือว่า ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แห่งการเสียสละ
อันยิ่งใหญ่นิรันดรของพระเจ้า
* * * * *
1. ประวัติของพระเยซู โดยสรุป
พระเยซูมีเชื้อชาติยิว คริสต์ศาสนาถือว่า วันสมภพ คือ
25 ธันวาคม ค.ศ. 1 (เป็นปีที่ 1 แห่งคริสต์ศักราช ) ณ หมู่บ้านเบธเลเฮม
แคว้นยูดา ในดินแดนปาเลสไตน์ (อิสราเอล ในปัจจุบัน) เป็นช่วงที่
อาณาจักรโรมันเจริญถึงขีดสุดภายใต้การนำของพระเจ้าซีซาร์
พระเยซู มารดาชื่อ มาเรีย บิดาชื่อ โจเซฟ เป็นคนเชื้อสายยิว
อาศัยอยู่ที่เมืองนาซาเรธ ในสมัยนั้นมีคำทำนายว่า "กษัตริย์แห่ง
ชนชาติยิวได้บังเกิดขึ้นแล้ว" กษัตริย์เฮร็อค ผู้ครองแคว้นยูดาย
ทรงทราบจึงรับสั่งให้ประหารชีวิตเด็กชายที่เกิดในเมืองเบธเลเฮม
ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น โจเซฟได้พาภรรยาและบุตรหลบหนี จนกระทั่ง
กษัตริย์เฮร็อคเสียชีวิตลง พระเยซูก็ เติบโตขึ้นและด้วยความสนใจใฝ่
หาความรู้ทางศาสนา เมื่ออายุ 30 ปี ได้พบกับนักบุญจอห์น ผู้เผยแพร่
ศาสนายิวและได้รับศีลจุ่ม (แบพติสต์ ) จากจอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน
นับแต่นั้นมาพระเยซูก็ได้ชื่อว่า พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ)
พระเยซูคริสต์ เริ่มประกาศคำสอนโดยรับเอาความเชื่อศาสนายิวเป็น
หลักปฏิบัติและเป็นคำสอนที่สำคัญอันหนึ่งเรียกว่า "เทศนาบนภูเขา"
พระเยซูส่งสาวกออกไปเผยแพร่คำสอนอันถือเป็นพระวจนะของพระเจ้า
จนได้รับความนิยมจากชาวยิว และเชื่อว่าพระเยซูเป็นเมสสิอาห์ของยิว
ต่อมานักบวชชาวยิวกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับพระเยซูถือว่ามาปฏิวัติศาสนา
และเป็นผู้สร้างคำสอนใหม่ให้ศาสนา จึงพยายามหาทางกำจัดโดยกล่าวหา
พระเยซูว่าพยายามซ่องสุมผู้คน เพื่อ กบฎชาวโรมันอันเป็นที่มาของการถูก
ทหารโรมันจับตรึงไม้กางเขนจนถึงแก่ชีวิต เมื่ออายุ 33 ปี โดยประกาศ
คำสอนได้เพียง 3 ปี เท่านั้น พวกสาวกที่เลื่อมใสพระเยซูก็ตั้งเป็นศาสนา
ใหม่ขึ้น เรียกว่า " ศาสนาคริสต์ "
2. แนวคิดสำคัญๆในศาสนาคริตส์ มีอะไรบ้าง
1. จุดหมายปลายทาง สวรรค์ (อยู่กับพระเจ้า)
2. วิธีปฏิบัติ ทำตามบัญญัติของพระเจ้าซึ่งพระเยซูย่อลงมาเหลือ
2 ข้อบ้าง 5 ข้อบ้าง 6 ข้อบ้างและเติมอีกข้อหนึ่งคือให้ทานแก่คนอนาถา
3. ชีวิตในโลกนี้ มีเพียงครั้งเดียว
4. ศาสนาคริตส์เชื่อว่ามนุษย์ตายแล้ววิญญาณยังไม่ไปไหน ยังคงอยู่ที่
ศพคอยวันพิพากษาและจะกลับเข้าสู่ร่างศพฟื้นออกจากหลุมฝังศพ
เมื่อเทพบริวารของพระเจ้าเป่าแตรแล้วพากันไปฟังคำพิพากษาจาก
พระเจ้า ถ้าใครมีบาป ก็จะตกนรกชั่วนิรันดร์ ถ้าใครมีความดีมาก
ก็ได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้า
3. ไตรเอกานุภาพ หรือ ตรีเอกภาพ หมายถึงสิ่งใด
1. พระเจ้า หรือพระบิดา (The Father)
2. พระบุตร (The son)
3. พระจิต (The Holy spirit)
4. การทำความเคารพบูชาต่อไม้กางเขน มีวิธีการอย่างไร
การทำความเคารพบูชาต่อไม้กางเขน วิธีทำคือ
1. ยกมือขวาแตะหน้าผาก กล่าวว่า ขอเดชะพระบิดา
2. ลดมือขวาลงมาแตะหน้าอก กล่าวว่า พระบุตร
3. ยกมือขวาไปแตะที่บ่าซ้าย แล้วย้ายมาบ่าขวา กล่าวว่า พระจิต
4. ประสานมือไว้ที่หน้าอกแล้วกล่าวว่า อา เมน (A Men) ซึ่งหมายความว่า
ขอบุญกุศลนี้จงบันดาลให้พระเจ้าสถิตอยู่กับข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อ
5. ศาสนาคริสต์ (Christianity) เป็นศาสนาแห่งความรัก เพราะเหตุใด
เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ ทรงรักประชากรของพระองค์ ทรงสร้าง
สัตว์ต่างๆขึ้นมาเพื่อรับใช้ เป็นอาหารแก่มนุษย์ และทรงให้มนุษย์
ลงสู่นรกเมื่อไม่ศรัทธาในพระเจ้า ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่นับถือ
ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและทุกสิ่ง
รวมถึงมนุษย์โดยใช้เวลาเพียง 6วัน
6. คัมภีร์สำคัญในศาสนาคริสต์ เรียกว่า อะไร
พระคริสตธรรมคัมภีร์หรือคัมภีร์ไบเบิล (The Bible)
7. ศาสนาคริสต์มีรากฐานมาจากศาสนาใด
ศาสนายูดาห์ (หรือศาสนายิว)
8. ความเชื่อเกี่ยวกับการมาเกิดของพระเยซู มีว่าอย่างไร
โดยสรุป มีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า
ที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ จากหญิงพรหมจรรย์ (สาวบริสุทธิ์) โดย
ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาปโดย
การสิ้นพระชนม์ที่กางเขน และทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายใน
สามวันหลังจากนั้น และเสด็จสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์
ของพระบิดา ผู้ที่เชื่อและไว้วางใจในพระองค์จะได้รับการอภัยโทษบาป
9. นิกายสำคัญๆในศาสนาคริสต์ มีกี่นินาย
มี 3 นิกาย คือ
1. นิกายโรมันคาทอลิกแปลว่าสากล เป็นนิกายดั้งเดิมที่ยึดมั่นใน
หลักคำสอนของพระเยซูคริสต์เคารพพระนางมารีย์และนักบุญต่างๆ
ภายในโบสถ์ของนิกายนี้จะมีรูปเคารพพระเยซูคริสต์ พระแม่มารีย์
และนักบุญต่างๆ มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่นครรัฐวาติกัน มี
พระสันตะปาปาเป็นประมุข โดยถือว่านักบุญเปโตรหรือนักบุญปีเตอร์
คือพระสันตะปาปาพระองค์แรก มีนักบวช เรียกว่าบาทหลวง และผู้อุทิศตน
ทำงานให้ศาสนจักรถ้าเป็นชายเรียกว่าบราเดอร์ (brother) หญิงเรียกว่า
ซิสเตอร์ (sister) ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า "คริสตัง"
2. นิกายออร์โธด็อกซ์แปลว่าถูกต้อง นับถือในประเทศทางฝั่งยุโรป
ตะวันออก เช่น กรีซ รัสเซีย โดยแยกตัวออกไปจากศาสนจักรตะวันตก
เพราะไม่อยากอยู่ภายใต้อำนาจของสันตะปาปาซึ่งมีอำนาจมากสูงกว่า
กษัตริย์ ในสมัยนั้น โดยที่มิได้เปลี่ยนแปลงข้อความเชื่อ ข้อความเชื่อ
ของนิกายออทอดอกซ์เหมือนกับข้อความเชื่อของนิกายโรมันคาทอลิก
มีอัครบิดรเป็นประมุข นิกายออทอดอกซ์ยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
คริสตจักร (หรือศาสนจักร) ตะวันออก
3. นิกายโปรเตสแตนต์ แยกตัวมาจากนิกายโรมันคาทอลิกในช่วง
คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นนิกายที่ถือว่าศรัทธาของแต่ละคนที่มีต่อ
พระเจ้าสำคัญกว่าพิธีกรรม ซึ่งยังแตกย่อยออกเป็นหลายร้อยคณะ
เนื่องจากมีความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และการปฏิบัติในพิธีกรรม
นิกายนี้ไม่มีนักบวช เชื่อว่าทุกคนสามารถเข้าถึงพระเจ้าได้โดยมิต้อง
อาศัยบาทหลวงและถือว่าพระเยซูได้ทรงไถ่บาปแก่ศาสนิกทุกคนไป
เมื่อถูกตรึงกางเขนแล้ว นิกายนี้มีเพียงไม้กางเขนเป็นเครื่องหมาย
แห่งศาสนา ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า "คริสเตียน"
10. ศาสนาคริสต์ได้เข้ามาในประเทศไทย เมื่อใด
ศาสนาคริสต์ได้เข้ามาในประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา ประมาณปี พ.ศ. 2127
นิกายโรมันคาทอลิกเป็นนิกายแรกที่เข้ามา โดยคณะโดมินิกัน,
คณะฟรังซิสกัน, คณะเยซูอิต
11. พิธีกรรมสำคัญในศาสนาคริสต์ ได้แก่อะไรบ้าง
พิธีกรรมสำคัญในศาสนาคริสต์ที่สำคัญๆอยู่ 7 พิธี
เรียกว่า พิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์(The Seven Sacraments) มีดังนี้
1. ศีลล้างบาป (Baptism) หรือการรับบัพติสมา เป็นพิธีแรกที่คริสตชน
ต้องรับ โดยบาทหลวงจะใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์เทลงบนศีรษะพร้อม
เจิมน้ำมันคริสมาที่หน้าผาก
2. ศีลอภัยบาป (Confirmation) เป็นการสารภาพบาปกับพระเจ้า
โดยผ่านบาทหลวง บาทหลวงจะเป็นผู้ตักเตือนสั่งสอนไม่ให้
ทำบาปนั้นอีก และทำการอภัยบาปให้ในนามพระเจ้า
3. ศีลมหาสนิท (Eucharist) เป็นพิธีกรรมรับศีลโดยรับขนมปัง
และเหล้าองุ่นมารับประทาน โดยความเชื่อว่าพระกายและ
พระโลหิตของพระเยซู
4. ศีลกำลัง เป็นพิธีรับศีลโดยการเจิมหน้าผาก เพื่อยืนยันความเชื่อ
ว่าจะนับถือศาสนาคริสต์ตลอดไปและได้รับพระพรของพระจิตเจ้า
ทำให้เข้มแข็งในความเชื่อมากขึ้น
5. ศีลสมรส (Martrimony) เป็นพิธีประกอบการแต่งงาน โดยบาทหลวง
เป็นพยาน เป็นการแสดงความสัมพันธ์ว่าจะรักกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่
6. ศีลบวช (Ordination) สงวนไว้เฉพาะผู้ที่จะบวชเป็นบาทหลวง
และเป็นชายเท่านั้น
7. ศีลเจิมคนไข้ (Anointing of the Sick) เป็นพิธีเจิมคนไข้โดยบาทหลวง
จะเจิมน้ำมันลงบนหน้าผากและมือทั้งสองข้างของผู้ป่วย ให้ระลึกว่า
พระเจ้าจะอยู่กับตนและให้พลังบรรเทาอาการเจ็บป่วย
สำหรับนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายออร์ทอดอกซ์ จะมีพิธีกรรมทั้ง
7 พิธี แต่สำหรับนิกายโปรเตสแตนต์ จะมีเพียง 3 พิธีคือพิธีบัพติสมา,
พิธีมหาสนิท และ พิธีสมรสศักดิ์สิทธิ์
12. ศาสนาคริสต์เกิดหลังพุทธศาสนา กี่ปี
543 ปี
13. หลักตรีเอกานุภาพ (Trinity)หรือ ตรีเอกภาพ หมายถึง อะไร
ความเชื่อว่าพระเจ้าทรง มี 3 ภาค คือ
1. พระบิดา (The Father) หมายถึง พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในสวรรค์
ผู้ทรงสร้างโลก สรรพสิ่ง และมนุษย์
2. พระบุตร (The Son) หมายถึง พระเยซูคริสต์ซึ่งมีฐานะเป็นพระบุตร
ของพระเจ้าผู้เสด็จมาในโลกเพื่อไถ่บาปแก่มนุษย์
3. พระจิต หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ (The Holy Spirit) หมายถึง
พลังอำนาจของพระเจ้าอันเป็นพลังแห่งความรักที่เชื่อมพระบิดา
กับพระบุตรเข้าด้วยกัน และเป็นพลังอำนาจของพระเจ้าที่ทรง
แสดงต่อมนุษย์เพื่อดลบันดาลให้มนุษย์กลับใจมาประพฤติปฏิบัติ
ตามแนวทางของพระเจ้าพระคริสต์ธรรมใหม่
14. หลักแห่งความรัก (Love หรือ Agape) ในศาสนาคริสต์เป็นอย่างไร
หลักความรักเป็นหลักคำสอนทางจริยธรรมที่สำคัญที่สุดของ
ศาสนาคริสต์ ความรักในที่นี้มิใช่ความรักอย่างหนุ่มสาวอันประกอบ
ด้วยกิเลสตัณหาและอารมณ์ปรารถนาอันเห็นแก่ตัว แต่หมายถึง
ความเป็นมิตรและความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ความรักแบ่ง
เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ความรักระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และ
ความรักระหว่างมนุษย์กับมนุษย์
15. หลักความศรัทธา 5 ประการในศาสนาคริสต์ มีอะไรบ้าง
1. ศรัทธาว่าพระเจ้าคือพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว
2. ศรัทธาว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน
3. ศรัทธาว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า
4. ศรัทธาว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
5. ศรัทธาในแผ่นดินสวรรค์หรืออาณาจักรของพระเจ้าที่กำลังจะมาถึง
16. สัญลักษณ์สำคัญของศาสนาคริสต์ คือ สิ่งใด
ในคริสต์ศาสนาทุกนิกายใช้เครื่องหมายเหมือนกันคือ ไม้กางเขน
เดิมไม้กางเขนเป็นเครื่องมือสำหรับประหารชีวิตนักโทษในปาเลสไตน์
คริสต์ศาสนาจึงถือว่า ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แห่งการเสียสละ
อันยิ่งใหญ่นิรันดรของพระเจ้า
* * * * *
ศาสนาและหน้าที่พลเมือง06
คราวนี้มาดูคำถาม-คำตอบ เกี่ยวกับศาสนาอิสลามกันบ้าง
1. ศาสนาอิสลาม มีลักษณะอย่างไร
ศาสนาอิสลาม คือ ความศรัทธา ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิบัติและ
จริยธรรม ซึ่งบรรดาศาสดา ที่อัลลอฮฺ ได้ประทานลงมาเป็นผู้นำ
เพื่อมาสั่งสอนและแนะนำแก่มวลมนุษยชาติ
2. ศาสดาของศาสนาอิสลามคือ ใคร
ท่านนบีมุฮัมหมัด
3. คำว่า อิสลาม หมายถึง อะไร
อิสลาม เป็นคำภาษาอาหรับ แปลว่า การสวามิภักดิ์
ซึ่งหมายถึงการสวามิภักดิ์อย่างบริบูรณ์แด่ อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้า
4. อัลลอฮฺ แปลว่า อะไร
อัลลอฮฺ แปลว่า พระเจ้า
5. อิสลาม มีรากศัพท์มาจากคำว่าอะไร
อิสลาม มีรากศัพท์มาจากคำว่า อัส-สิลมฺ หมายถึง สันติ
กล่าวคือการสวามิภักดิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้มนุษย์ได้พบกับ
สันติภาพทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
6. ประวัติของท่านมูฮัมหมัด (โดยสรุป)
ท่านมูฮัมหมัดเกิดที่เมืองเมกกะตรงกับวันจันทร์ที่ 17 บ้างก็ว่า 12
เดือนรอบีอุลเอาวัล ในปีช้าง ตรงกับ ค.ศ. 570 ในตอนแรกเกิดวรกาย
ของมูฮัมหมัดมีรัศมีสว่างไสวและมีกลิ่นหอม แสดงถึงความพิเศษ
ของทารก มุฮัมมัดสูญเสียมารดาเมื่ออายุ 6 ขวบ จึงอยู่ในความอุปการะ
ของปู่ ต่อมาอีกสองปี ปู่ก็สิ้นชีวิตไปอีกคน มูฮัมหมัดจึงอยู่ในความดูแล
ของ อะบูฏอลิบ ผู้เป็นลุง ซึ่งเป็นผู้มีเกียรติคนหนึ่งในเผ่ากุเรชเช่นกัน
ในวัยหนุ่มมูฮัมหมัดได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ มีใจเมตตา
และจริงใจ จนกระทั่งได้สมญานามท่านว่า "อัลอะมีน" หรือผู้ซื่อสัตย์
เมื่อมูฮัมหมัดมีอายุได้ 20 ปี ชื่อเสียงในความดีและความสามารถใน
การค้าขายทราบถึง คอดีญะห์ เศรษฐีนีหม้ายผู้มีเกียรติจากตระกูลอะซัด
แห่งเผ่ากุเรช นางจึงให้ท่านเป็นผู้จัดการในการค้า โดยให้ท่านนำสินค้าไป
ขายยังประเทศซีเรียในฐานะหัวหน้ากองคาราวาน ปรากฏผลว่าการค้าดำเนิน
ไปด้วยความเรียบร้อยและได้กำไรเกินความคาดหมาย จึงทำให้นางพอใจ
ในความสามารถ และความซื่อสัตย์ของท่านเป็นอย่างมาก
เมื่ออายุ 25 ปี ท่านได้แต่งงานกับนางคอดีญะห์ผู้มีอายุแก่กว่าถึง 15 ปี
สิ่งแรกที่ท่านนบีมูหัมมัด ได้กระทำภายหลังสมรสได้ไม่กี่วันก็คือการปลด
ปล่อยทาสในบ้านให้เป็นอิสระ ต่อมาการปลดทาสได้กลายเป็นบทบัญญัติ
อิสลาม ทั้งสองได้ใช้ชีวิตครองคู่กันเป็นเวลา 25 ปีมีบุตรีด้วยกัน 4 คน
หนึ่งในจำนวนนั้นคือท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ
ท่านหญิงคอดีญะห์เสียชีวิตปี ค.ศ. 619 ก่อนมูฮัมหมัดจะลี้ภัยไปยัง
เมืองยัษริบ 3 ปี
เมื่ออายุ 30 ปี ท่านได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสหพันธ์ฟุดูล อันเป็นองค์กร
พิทักษ์สาธารณภัยประชาชน เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน กิจการ
ประจำวันของท่าน ก็คือ ประกอบแต่กุศลกรรม ปลดทุกข์ขจัดความเดือดร้อน
ช่วยเหลือผู้ตกยาก บำรุงสาธารณกุศล
เมื่ออายุ 35 ปี ได้เกิดมีกรณีขัดแย้งในการบูรณะกะอฺบะฮฺ ในเรื่องที่ว่า
ผู้ใดกันที่จะเป็นนำเอา อัลฮะญัร อัลอัสวัด (หินดำ) ไปประดิษฐานไว้
สถานที่เดิมคือที่มุมของกะอฺบะฮฺ อันเป็นเหตุให้คนทั้งเมืองเกือบจะ
รบราฆ่าฟันกันเองเพราะแย่งหน้าที่อันมีเกียรติ หลังจากการถกเถียงใน
ที่ประชุมเป็นเวลานาน บรรดาหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ก็มีมติว่า ผู้ใดก็ตามที่
เป็นคนแรกที่เข้ามาใน อัลมัสญิด อัลฮะรอม ทางประตูบะนีชัยบะฮฺในวันนั้น
จะให้ผู้นั้นเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะทำอย่างไร ปรากฏว่า มูฮัมหมัดเป็นคนเดินเข้าไป
เป็นคนแรก ท่านจึงมีอำนาจในการชี้ขาด โดยท่านเอาผ้าผืนหนึ่งปูลง แล้ว
ท่านก็วางหินดำลงบนผืนผ้านั้น จากนั้นก็ให้หัวหน้าตระกูลต่าง ๆ จับชายผ้า
กันทุกคน แล้วยกขึ้นพร้อม ๆ กัน เอาไปใกล้ ๆ สถานที่ตั้งของหินดำนั้น
แล้วท่านก็เป็นผู้นำเอาหินดำไปประดิษฐานไว้ ณ ที่เดิม
ชาวอาหรับในอาราเบียสมัยนั้นเชื่อว่า อัลลอฮฺเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่ง
สากลจักรวาลตามคำสอนดั้งเดิมของบรรพบุรุษอาหรับคือ อิสมาอีล
และ อิบรอฮีม ผู้ก่อตั้งกะอฺบะฮฺ แต่ในขณะเดียวก็บูชาเทวรูปและผีสาง
อีกด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกเรียกว่า ชาวมุชริก นอกจากนี้ยังมี
อาหรับบางส่วนที่นับถือศาสนาคริสต์ ในนัจญ์รอน ส่วนในเมืองยัษริบ
ก็มีชาวยิวหลายเผ่าอาศัยอยู่อีกด้วย
ศาสนทูตมูฮัมหมัดเสียชีวิตในบ้านของท่านเอง ในนครมะดีนะห์
เมื่อวันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 632 เมื่ออายุ 63 ปี
ท่านมูฮัมหมัดในฐานะเป็นศาสนทูต
เมื่ออายุ 40 ปี ท่านได้รับว่าวะฮ์ยู (การวิวรณ์) จากอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้า
ในถ้ำฮิรออ์ ซึ่งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งนอกเมืองมักกะฮฺ โดยฑูตญิบรีลเป็น
ผู้นำมาบอกเป็นครั้งแรก เรียกร้องให้ท่านรับหน้าที่เป็นผู้เผยแผ่ศาสนา
ของอัลลอฮฺดั่งที่ศาสดามูซา (โมเสส) อีซา (เยซู)เคยทำมา นั่นคือ
ประกาศให้มวลมนุษย์นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ท่านได้รับพระโองการ
ติดต่อกันเป็นเวลา 23 ปี พระโองการเหล่านี้รวบรวมขึ้นเป็นเล่มเรียกว่า
คัมภีร์อัลกุรอาน และท่านก็ได้เผยแผร่ศาสนาในเวลาต่อมา
7. สาส์นแห่งอิสลามที่ถูกส่งมาให้แก่มนุษย์ทั้งมวลมีจุดประสงค์
หลัก 3 ประการคือ...
1. เป็นอุดมการณ์ที่สอนมนุษย์ให้ศรัทธาในอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า
เพียงพระองค์เดียว
2. เป็นธรรมนูญสำหรับมนุษย์ เพื่อให้เกิดความสงบสุขในชีวิตส่วนตัว
และสังคม เป็นธรรมนูญที่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าในด้านการปกครอง
เศรษฐกิจ หรือนิติศาสตร์ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ไปจนกระทั่งระดับรัฐ
3. เป็นจริยธรรมอันสูงส่งเพื่อการครองตนอย่างมีเกียรติ เน้นความอดกลั้น
ความซื่อสัตย์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตากรุณา ความกตัญญูกตเวที
ความสะอาดของกายและใจ ความกล้าหาญ การให้อภัย ความเท่าเทียม
และความเสมอภาคระหว่างมนุษย์ การเคารพสิทธิของผู้อื่น สั่งสอนให้ละเว้น
ความตระหนี่ถี่เหนียว ความอิจฉาริษยา การติฉินนินทา ความเขลาและ
ความขลาดกลัว การทรยศและอกตัญญู การล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
อิสลามเป็นศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นทางนำในการดำรงชีวิต
ทุกด้านตั้งแต่ตื่นจนหลับ และตั้งแต่เกิดจนตาย แก่มนุษย์ทุกคน ไม่ยกเว้น
อายุ เพศ เผ่าพันธุ์ วรรณะ ฐานันดร หรือ ยุคสมัย ใด
8. หลักคำสอนหลักคำสอนของศาสนาอิสลามแบ่งไว้ 3 หมวด อะไรบ้าง
1. หลักการศรัทธา
2. หลักจริยธรรม
3. หลักการปฏิบัติ
9. หลักศรัทธา 6 ประการของศาสนาอิสลาม ได้แก่
1. ศรัทธาว่าอัลลอฮฺเป็นพระเจ้า
2. ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ต่าง ๆ ที่อัลลอหฺประทานลงมาในอดีต เช่น
เตารอต อินญีล ซะบูร และอัลกุรอาน
3. ศรัทธาในบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์
และนบีมุฮัมหมัด เป็นศาสนทูตคนสุดท้าย
4. ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะฮฺ บ่าวผู้รับใช้อัลลอฮฺ
5. ศรัทธาในวันสิ้นสุดท้าย คือหลังจากสิ้นโลกแล้ว มนุษย์จะฟื้นขึ้น
เพื่อรับการตอบสนองความดีความชั่วที่ได้ทำไปบนโลกนี้
6. ศรัทธาในกฎสภาวะ หรือ สิ่งที่เป็นการกำหนด และเงื่อนไข
การกำหนดจากพระผู้เป็นเจ้า
10. หลักการปฏิบัติในศาสนาอิสลาม(ศาสนวินัย) ได้แก่...
1. วาญิบ คือหลักปฏิบัติภาคบังคับที่มุกัลลัฟ (มุสลิมผู้อยู่ในศาสนนิติภาวะ)
ทุกคน ต้องปฏิบัติตาม ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงทัณฑ์ เช่น
การปฏิบัติตาม ฐานบัญญัติของอิสลามรุกน) ต่างๆ การศึกษาวิทยา
การอิสลาม การทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เป็นต้น
2. ฮะรอม คือกฏบัญญัติห้ามที่มุกัลลัฟทุกคนต้องละเว้น
ผู้ที่ไม่ละเว้นจะต้องถูกลงทัณฑ์
3. ฮะลาล คือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ อันได้แก่
การนึกคิด วาจา และการกระทำที่ศาสนาได้อนุมัติให้ เช่น
การรับประทานเนื้อปศุสัตว์ที่ได้รับการเชือดอย่างถูกต้อง
การค้าขายโดยสุจริตวิธี เป็นต้น
4. มุสตะฮับ หรือซุนนะฮฺ คือกฏบัญญัติชักชวนให้มุสลิม และมุกัลลัฟ
กระทำ หากไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้เป็นการฝ่าฝืนศาสนวินัย โดยทั่วไป
จะเกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการใช้น้ำหอม การตัดเล็บให้สั้น
5. มักรูฮฺ คือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ แต่พึงละเว้น คำว่า
มักรูหฺ ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า น่ารังเกียจ โดยทั่วไปจะ
เกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการทานอาหารที่มีกลิ่นน่ารังเกียจ
การสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขัดต่อกาลเทศะ เป็นต้น
6. มุบาฮฺ คือสิ่งที่กฏบัญญัติไม่ได้ระบุเจาะจง จึงเป็นความอิสระสำหรับ
มุกัลลัฟที่จะเลือกกระทำหรือละเว้น เช่นการเลือกพาหนะ เครื่องใช้
หรือ การเล่นกีฬาที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติห้าม
11. หลักปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลาม ได้แก่อะไรบ้าง
1. ดำรงการละหมาด วันละ 5 เวลา
2. จ่ายซะกาต
3. จ่ายคุมส์ คือ จ่ายภาษี 1 ใน 5 ให้แก่ผู้ครองอิสลาม
4. ถือศีลอดในเดือนรอมะฎอนทุกปี
5. บำเพ็ญฮัจญ์ ที่เมืองเมกกะ หากมีความสามารถ
6. ญิฮาด หรือ การปกป้องและเผยแพร่ศาสนาด้วยทรัพย์และชีวิต
7. สั่งใช้ในสิ่งที่ดี
8. สั่งห้ามไม่ให้ทำชั่ว
9. การภักดีต่อบรรดอิมานอันเป็นผู้นำที่ศาสนากำหนด
10. การตัดขาดจากศัตรูของอิมานอันเป็นผู้นำที่ศาสนากำหนด
12. นิกายที่สำคัญๆในศาสนาอิสลามได้แก่อะไรบ้าง
1. นิกายซุนีย์ เป็นนิกายที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่นับถือ ซึ่งยึดถือัลอ-กุรอาน
จริยวัตรของท่านศาสดามุฮัมมัด และแบบอย่างของสาวกเป็นหลัก
แนวความคิดของนิกายซุนีย์ คือ เชื่อว่าท่านศาสดามุฮัมมัดมิได้
แต่งตั้งตัวแทนไว้ก่อนที่ท่านจะจากไป ดังนั้น หลังจากท่านจากไป
แล้วตำแหน่งผู้ปกครองหรือผู้นำสืบต่อจากท่านจึงเป็นหน้าที่ของมุสลิม
ต้องเลือกสรรกันเองตามความเหมาะสม
2. นิกายชีอะห์ เป็นนิกายที่มีความเชื่อมั่นในเอกภาพของพระเจ้า
ยึดมั่นในอัล-กุรอานและจริยวัตรของท่านศาสดามุฮัมมัดและบรรดา
อิมามผู้บริสุทธิ์ แนวความคิดของนิกายชีอะห์ คือเชื่อว่าท่านศาสดา
มุฮัมมัดได้แต่งตั้งตัวแทน (อิมาม) ไว้แล้ว
13. ศาสนาอิสลามเข้ามาตั้งแต่ดินแดนประเทศไทยในสมัยใด
สมัยสุโขทัย
14. ศาสนสถานของชาวมุสลิมเรียกว่าอะไร
มัสยิดหรือสุเหร่า เป็นศาสนสถานของชาวมุสลิม คำว่า มัสญิด
เป็นคำภาษาอาหรับแปลว่า สถานที่กราบ นอกจากนี้ยังเรียกว่า
สุเหร่า เป็นคำที่ยืมมาจากภาษามลายู surau บ้างก็เรียกเรือนไม้
ที่ใช้เป็นสถานที่นมาซ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าว่า สุเหร่า
ถ้ามีขนาดใหญ่ก็เรียกว่า มัสญิด
15. วันสำคัญในศาสนาอิสลามได้แก่ อะไรบ้าง
1. เดือนที่สำคัญที่สุดคือเดือนรอมะฎอน อันเป็นเดือนที่มุสลิม
ถือศีลอดเป็นเวลาหนึ่งเดือน นั่นคือ 29 หรือ 30 วัน
2. วันที่สำคัญที่สุดในแต่ละสัปดาห์คือวันศุกร์ อันเป็นวันที่มุสลิมจะ
ไปร่วมที่มัสญิดเพื่อนมาซญุมอะหฺพร้อมกัน โดยที่อิมามมัสญิด
จะอ่านคุตบะหฺก่อนการนมาซ
3. ในแต่ละปีจะมีวันสำคัญสองวันนั่นคือ วันอีดุลฟิฏริ และวันอีดุลอัฎฮา
4. ในแต่ละปี มุสลิมจะประกอบพิธีฮัจญ์ที่มักกะหฺ เริ่มตั้งแต่วันที่ 9
จนถึงวันที่ 14 เดือนซุลฮิจญะหฺ
16. คัมภีร์ในศาสนาอิสลามชื่อมีว่าอะไร
คัมภีร์อัลกุรอานเป็นชาวมุสลิมที่เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก
เพราะไม่ได้เกิดจากความคิดมนุษย ์แต่เป็นพระวจนะอันศักดิ์สิทธิ์
ที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้มนุษย์โดยผ่านทางนบีฯมุฮัมมัด (ศ็อลฯ)
สาระสำคัญในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวถึงทั้งศาสนา ปรัชญา ประวัติศาสตร์
สุขศึกษา รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
คัมภีร์อัลกุรอานจึงเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต เมื่อมีความขัดแย้ง
เกิดขึ้นในทางศาสนาอิสลาม จะใช้คัมภีร์อัลกุรอานเป็นแนวทางใน
การตัดสินปัญหา ความลึกซึ้งในภาษามีมากจนปัจจุบันนี้ยังไม่มี
ปราชญ์คนใดเขียนได้ดีเท่า และในคัมภีร์ก็ไม่มีตอนใดที่ขัดแย้งกันเลย
ทั้งๆ ที่นบีมุฮัมมัด ไม่มีความสามารถทั้งในการอ่านและการเขียนหนังสือ
การศรัทธาในคัมภีร์อัลกุรอานทั้งเล่มเป็นหลักการหนึ่งที่มุสลิมทุกคน
ต้องศรัทธา หมายความว่าหากไม่ศรัทธาในอัลกุรอาน หรือศรัทธาบางส่วน
ก็จะเป็นมุสลิมไม่ได้ และต้องศรัทธาว่าคัมภีร์อัลกุรอาน ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นี้มีความบริบูรณ์ภายใต้การพิทักษ์ของอัลลอหฺพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้
จึงไม่มีการสังคายนาอัลกุรอานเลย
17. คัมภีร์อัลกุรอานมาจากที่ใด
อัลลอหฺ ได้ทรงประทานคัมภีร์อัลกรุอานแก่ นบีมุฮัมมัด ซึ่งเป็น
ศาสนทูตคนสุดท้าย และคัมภีร์นี้ก็เป็นคัมภีร์สุดท้ายที่พระผู้เป็นเจ้า
ได้ส่งมาให้แก่มวลมนุษยชาติ หลังจากนี้แล้วจะไม่มีคัมภีร์ใดๆ
จากพระผู้เป็นเจ้าอีก คัมภีร์กรุอานนี้ได้ประทานมาเพื่อยกเลิกคัมภีร์เก่าๆ
ที่เคยได้ทรงประทานมา นั่นคือคัมภีร์เตารอหฺ (Torah) ที่เคยทรงประทาน
มาแก่ศาสดามูซา คัมภีร์ซะบูร (Psalm) ที่เคยทรงประทานมาแก่
ศาสดาดาวูด (David) และ คัมภีร์อินญีล (Evangelis) ที่เคยทรงประทาน
มาแก่ศาสดาอีซา (Jesus) เป็นคัมภีร์ที่บริบูรณ์ไม่มีการเพี้ยนเปลี่ยนแปลง
ภาษาของอัลกุรอานนั้นคือภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นภาษาของศาสดามุฮัมมัด
* * * * *
1. ศาสนาอิสลาม มีลักษณะอย่างไร
ศาสนาอิสลาม คือ ความศรัทธา ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิบัติและ
จริยธรรม ซึ่งบรรดาศาสดา ที่อัลลอฮฺ ได้ประทานลงมาเป็นผู้นำ
เพื่อมาสั่งสอนและแนะนำแก่มวลมนุษยชาติ
2. ศาสดาของศาสนาอิสลามคือ ใคร
ท่านนบีมุฮัมหมัด
3. คำว่า อิสลาม หมายถึง อะไร
อิสลาม เป็นคำภาษาอาหรับ แปลว่า การสวามิภักดิ์
ซึ่งหมายถึงการสวามิภักดิ์อย่างบริบูรณ์แด่ อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้า
4. อัลลอฮฺ แปลว่า อะไร
อัลลอฮฺ แปลว่า พระเจ้า
5. อิสลาม มีรากศัพท์มาจากคำว่าอะไร
อิสลาม มีรากศัพท์มาจากคำว่า อัส-สิลมฺ หมายถึง สันติ
กล่าวคือการสวามิภักดิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้มนุษย์ได้พบกับ
สันติภาพทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
6. ประวัติของท่านมูฮัมหมัด (โดยสรุป)
ท่านมูฮัมหมัดเกิดที่เมืองเมกกะตรงกับวันจันทร์ที่ 17 บ้างก็ว่า 12
เดือนรอบีอุลเอาวัล ในปีช้าง ตรงกับ ค.ศ. 570 ในตอนแรกเกิดวรกาย
ของมูฮัมหมัดมีรัศมีสว่างไสวและมีกลิ่นหอม แสดงถึงความพิเศษ
ของทารก มุฮัมมัดสูญเสียมารดาเมื่ออายุ 6 ขวบ จึงอยู่ในความอุปการะ
ของปู่ ต่อมาอีกสองปี ปู่ก็สิ้นชีวิตไปอีกคน มูฮัมหมัดจึงอยู่ในความดูแล
ของ อะบูฏอลิบ ผู้เป็นลุง ซึ่งเป็นผู้มีเกียรติคนหนึ่งในเผ่ากุเรชเช่นกัน
ในวัยหนุ่มมูฮัมหมัดได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ มีใจเมตตา
และจริงใจ จนกระทั่งได้สมญานามท่านว่า "อัลอะมีน" หรือผู้ซื่อสัตย์
เมื่อมูฮัมหมัดมีอายุได้ 20 ปี ชื่อเสียงในความดีและความสามารถใน
การค้าขายทราบถึง คอดีญะห์ เศรษฐีนีหม้ายผู้มีเกียรติจากตระกูลอะซัด
แห่งเผ่ากุเรช นางจึงให้ท่านเป็นผู้จัดการในการค้า โดยให้ท่านนำสินค้าไป
ขายยังประเทศซีเรียในฐานะหัวหน้ากองคาราวาน ปรากฏผลว่าการค้าดำเนิน
ไปด้วยความเรียบร้อยและได้กำไรเกินความคาดหมาย จึงทำให้นางพอใจ
ในความสามารถ และความซื่อสัตย์ของท่านเป็นอย่างมาก
เมื่ออายุ 25 ปี ท่านได้แต่งงานกับนางคอดีญะห์ผู้มีอายุแก่กว่าถึง 15 ปี
สิ่งแรกที่ท่านนบีมูหัมมัด ได้กระทำภายหลังสมรสได้ไม่กี่วันก็คือการปลด
ปล่อยทาสในบ้านให้เป็นอิสระ ต่อมาการปลดทาสได้กลายเป็นบทบัญญัติ
อิสลาม ทั้งสองได้ใช้ชีวิตครองคู่กันเป็นเวลา 25 ปีมีบุตรีด้วยกัน 4 คน
หนึ่งในจำนวนนั้นคือท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ
ท่านหญิงคอดีญะห์เสียชีวิตปี ค.ศ. 619 ก่อนมูฮัมหมัดจะลี้ภัยไปยัง
เมืองยัษริบ 3 ปี
เมื่ออายุ 30 ปี ท่านได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสหพันธ์ฟุดูล อันเป็นองค์กร
พิทักษ์สาธารณภัยประชาชน เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน กิจการ
ประจำวันของท่าน ก็คือ ประกอบแต่กุศลกรรม ปลดทุกข์ขจัดความเดือดร้อน
ช่วยเหลือผู้ตกยาก บำรุงสาธารณกุศล
เมื่ออายุ 35 ปี ได้เกิดมีกรณีขัดแย้งในการบูรณะกะอฺบะฮฺ ในเรื่องที่ว่า
ผู้ใดกันที่จะเป็นนำเอา อัลฮะญัร อัลอัสวัด (หินดำ) ไปประดิษฐานไว้
สถานที่เดิมคือที่มุมของกะอฺบะฮฺ อันเป็นเหตุให้คนทั้งเมืองเกือบจะ
รบราฆ่าฟันกันเองเพราะแย่งหน้าที่อันมีเกียรติ หลังจากการถกเถียงใน
ที่ประชุมเป็นเวลานาน บรรดาหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ก็มีมติว่า ผู้ใดก็ตามที่
เป็นคนแรกที่เข้ามาใน อัลมัสญิด อัลฮะรอม ทางประตูบะนีชัยบะฮฺในวันนั้น
จะให้ผู้นั้นเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะทำอย่างไร ปรากฏว่า มูฮัมหมัดเป็นคนเดินเข้าไป
เป็นคนแรก ท่านจึงมีอำนาจในการชี้ขาด โดยท่านเอาผ้าผืนหนึ่งปูลง แล้ว
ท่านก็วางหินดำลงบนผืนผ้านั้น จากนั้นก็ให้หัวหน้าตระกูลต่าง ๆ จับชายผ้า
กันทุกคน แล้วยกขึ้นพร้อม ๆ กัน เอาไปใกล้ ๆ สถานที่ตั้งของหินดำนั้น
แล้วท่านก็เป็นผู้นำเอาหินดำไปประดิษฐานไว้ ณ ที่เดิม
ชาวอาหรับในอาราเบียสมัยนั้นเชื่อว่า อัลลอฮฺเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่ง
สากลจักรวาลตามคำสอนดั้งเดิมของบรรพบุรุษอาหรับคือ อิสมาอีล
และ อิบรอฮีม ผู้ก่อตั้งกะอฺบะฮฺ แต่ในขณะเดียวก็บูชาเทวรูปและผีสาง
อีกด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกเรียกว่า ชาวมุชริก นอกจากนี้ยังมี
อาหรับบางส่วนที่นับถือศาสนาคริสต์ ในนัจญ์รอน ส่วนในเมืองยัษริบ
ก็มีชาวยิวหลายเผ่าอาศัยอยู่อีกด้วย
ศาสนทูตมูฮัมหมัดเสียชีวิตในบ้านของท่านเอง ในนครมะดีนะห์
เมื่อวันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 632 เมื่ออายุ 63 ปี
ท่านมูฮัมหมัดในฐานะเป็นศาสนทูต
เมื่ออายุ 40 ปี ท่านได้รับว่าวะฮ์ยู (การวิวรณ์) จากอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้า
ในถ้ำฮิรออ์ ซึ่งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งนอกเมืองมักกะฮฺ โดยฑูตญิบรีลเป็น
ผู้นำมาบอกเป็นครั้งแรก เรียกร้องให้ท่านรับหน้าที่เป็นผู้เผยแผ่ศาสนา
ของอัลลอฮฺดั่งที่ศาสดามูซา (โมเสส) อีซา (เยซู)เคยทำมา นั่นคือ
ประกาศให้มวลมนุษย์นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ท่านได้รับพระโองการ
ติดต่อกันเป็นเวลา 23 ปี พระโองการเหล่านี้รวบรวมขึ้นเป็นเล่มเรียกว่า
คัมภีร์อัลกุรอาน และท่านก็ได้เผยแผร่ศาสนาในเวลาต่อมา
7. สาส์นแห่งอิสลามที่ถูกส่งมาให้แก่มนุษย์ทั้งมวลมีจุดประสงค์
หลัก 3 ประการคือ...
1. เป็นอุดมการณ์ที่สอนมนุษย์ให้ศรัทธาในอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า
เพียงพระองค์เดียว
2. เป็นธรรมนูญสำหรับมนุษย์ เพื่อให้เกิดความสงบสุขในชีวิตส่วนตัว
และสังคม เป็นธรรมนูญที่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าในด้านการปกครอง
เศรษฐกิจ หรือนิติศาสตร์ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ไปจนกระทั่งระดับรัฐ
3. เป็นจริยธรรมอันสูงส่งเพื่อการครองตนอย่างมีเกียรติ เน้นความอดกลั้น
ความซื่อสัตย์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตากรุณา ความกตัญญูกตเวที
ความสะอาดของกายและใจ ความกล้าหาญ การให้อภัย ความเท่าเทียม
และความเสมอภาคระหว่างมนุษย์ การเคารพสิทธิของผู้อื่น สั่งสอนให้ละเว้น
ความตระหนี่ถี่เหนียว ความอิจฉาริษยา การติฉินนินทา ความเขลาและ
ความขลาดกลัว การทรยศและอกตัญญู การล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
อิสลามเป็นศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นทางนำในการดำรงชีวิต
ทุกด้านตั้งแต่ตื่นจนหลับ และตั้งแต่เกิดจนตาย แก่มนุษย์ทุกคน ไม่ยกเว้น
อายุ เพศ เผ่าพันธุ์ วรรณะ ฐานันดร หรือ ยุคสมัย ใด
8. หลักคำสอนหลักคำสอนของศาสนาอิสลามแบ่งไว้ 3 หมวด อะไรบ้าง
1. หลักการศรัทธา
2. หลักจริยธรรม
3. หลักการปฏิบัติ
9. หลักศรัทธา 6 ประการของศาสนาอิสลาม ได้แก่
1. ศรัทธาว่าอัลลอฮฺเป็นพระเจ้า
2. ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ต่าง ๆ ที่อัลลอหฺประทานลงมาในอดีต เช่น
เตารอต อินญีล ซะบูร และอัลกุรอาน
3. ศรัทธาในบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์
และนบีมุฮัมหมัด เป็นศาสนทูตคนสุดท้าย
4. ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะฮฺ บ่าวผู้รับใช้อัลลอฮฺ
5. ศรัทธาในวันสิ้นสุดท้าย คือหลังจากสิ้นโลกแล้ว มนุษย์จะฟื้นขึ้น
เพื่อรับการตอบสนองความดีความชั่วที่ได้ทำไปบนโลกนี้
6. ศรัทธาในกฎสภาวะ หรือ สิ่งที่เป็นการกำหนด และเงื่อนไข
การกำหนดจากพระผู้เป็นเจ้า
10. หลักการปฏิบัติในศาสนาอิสลาม(ศาสนวินัย) ได้แก่...
1. วาญิบ คือหลักปฏิบัติภาคบังคับที่มุกัลลัฟ (มุสลิมผู้อยู่ในศาสนนิติภาวะ)
ทุกคน ต้องปฏิบัติตาม ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงทัณฑ์ เช่น
การปฏิบัติตาม ฐานบัญญัติของอิสลามรุกน) ต่างๆ การศึกษาวิทยา
การอิสลาม การทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เป็นต้น
2. ฮะรอม คือกฏบัญญัติห้ามที่มุกัลลัฟทุกคนต้องละเว้น
ผู้ที่ไม่ละเว้นจะต้องถูกลงทัณฑ์
3. ฮะลาล คือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ อันได้แก่
การนึกคิด วาจา และการกระทำที่ศาสนาได้อนุมัติให้ เช่น
การรับประทานเนื้อปศุสัตว์ที่ได้รับการเชือดอย่างถูกต้อง
การค้าขายโดยสุจริตวิธี เป็นต้น
4. มุสตะฮับ หรือซุนนะฮฺ คือกฏบัญญัติชักชวนให้มุสลิม และมุกัลลัฟ
กระทำ หากไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้เป็นการฝ่าฝืนศาสนวินัย โดยทั่วไป
จะเกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการใช้น้ำหอม การตัดเล็บให้สั้น
5. มักรูฮฺ คือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ แต่พึงละเว้น คำว่า
มักรูหฺ ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า น่ารังเกียจ โดยทั่วไปจะ
เกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการทานอาหารที่มีกลิ่นน่ารังเกียจ
การสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขัดต่อกาลเทศะ เป็นต้น
6. มุบาฮฺ คือสิ่งที่กฏบัญญัติไม่ได้ระบุเจาะจง จึงเป็นความอิสระสำหรับ
มุกัลลัฟที่จะเลือกกระทำหรือละเว้น เช่นการเลือกพาหนะ เครื่องใช้
หรือ การเล่นกีฬาที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติห้าม
11. หลักปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลาม ได้แก่อะไรบ้าง
1. ดำรงการละหมาด วันละ 5 เวลา
2. จ่ายซะกาต
3. จ่ายคุมส์ คือ จ่ายภาษี 1 ใน 5 ให้แก่ผู้ครองอิสลาม
4. ถือศีลอดในเดือนรอมะฎอนทุกปี
5. บำเพ็ญฮัจญ์ ที่เมืองเมกกะ หากมีความสามารถ
6. ญิฮาด หรือ การปกป้องและเผยแพร่ศาสนาด้วยทรัพย์และชีวิต
7. สั่งใช้ในสิ่งที่ดี
8. สั่งห้ามไม่ให้ทำชั่ว
9. การภักดีต่อบรรดอิมานอันเป็นผู้นำที่ศาสนากำหนด
10. การตัดขาดจากศัตรูของอิมานอันเป็นผู้นำที่ศาสนากำหนด
12. นิกายที่สำคัญๆในศาสนาอิสลามได้แก่อะไรบ้าง
1. นิกายซุนีย์ เป็นนิกายที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่นับถือ ซึ่งยึดถือัลอ-กุรอาน
จริยวัตรของท่านศาสดามุฮัมมัด และแบบอย่างของสาวกเป็นหลัก
แนวความคิดของนิกายซุนีย์ คือ เชื่อว่าท่านศาสดามุฮัมมัดมิได้
แต่งตั้งตัวแทนไว้ก่อนที่ท่านจะจากไป ดังนั้น หลังจากท่านจากไป
แล้วตำแหน่งผู้ปกครองหรือผู้นำสืบต่อจากท่านจึงเป็นหน้าที่ของมุสลิม
ต้องเลือกสรรกันเองตามความเหมาะสม
2. นิกายชีอะห์ เป็นนิกายที่มีความเชื่อมั่นในเอกภาพของพระเจ้า
ยึดมั่นในอัล-กุรอานและจริยวัตรของท่านศาสดามุฮัมมัดและบรรดา
อิมามผู้บริสุทธิ์ แนวความคิดของนิกายชีอะห์ คือเชื่อว่าท่านศาสดา
มุฮัมมัดได้แต่งตั้งตัวแทน (อิมาม) ไว้แล้ว
13. ศาสนาอิสลามเข้ามาตั้งแต่ดินแดนประเทศไทยในสมัยใด
สมัยสุโขทัย
14. ศาสนสถานของชาวมุสลิมเรียกว่าอะไร
มัสยิดหรือสุเหร่า เป็นศาสนสถานของชาวมุสลิม คำว่า มัสญิด
เป็นคำภาษาอาหรับแปลว่า สถานที่กราบ นอกจากนี้ยังเรียกว่า
สุเหร่า เป็นคำที่ยืมมาจากภาษามลายู surau บ้างก็เรียกเรือนไม้
ที่ใช้เป็นสถานที่นมาซ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าว่า สุเหร่า
ถ้ามีขนาดใหญ่ก็เรียกว่า มัสญิด
15. วันสำคัญในศาสนาอิสลามได้แก่ อะไรบ้าง
1. เดือนที่สำคัญที่สุดคือเดือนรอมะฎอน อันเป็นเดือนที่มุสลิม
ถือศีลอดเป็นเวลาหนึ่งเดือน นั่นคือ 29 หรือ 30 วัน
2. วันที่สำคัญที่สุดในแต่ละสัปดาห์คือวันศุกร์ อันเป็นวันที่มุสลิมจะ
ไปร่วมที่มัสญิดเพื่อนมาซญุมอะหฺพร้อมกัน โดยที่อิมามมัสญิด
จะอ่านคุตบะหฺก่อนการนมาซ
3. ในแต่ละปีจะมีวันสำคัญสองวันนั่นคือ วันอีดุลฟิฏริ และวันอีดุลอัฎฮา
4. ในแต่ละปี มุสลิมจะประกอบพิธีฮัจญ์ที่มักกะหฺ เริ่มตั้งแต่วันที่ 9
จนถึงวันที่ 14 เดือนซุลฮิจญะหฺ
16. คัมภีร์ในศาสนาอิสลามชื่อมีว่าอะไร
คัมภีร์อัลกุรอานเป็นชาวมุสลิมที่เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก
เพราะไม่ได้เกิดจากความคิดมนุษย ์แต่เป็นพระวจนะอันศักดิ์สิทธิ์
ที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้มนุษย์โดยผ่านทางนบีฯมุฮัมมัด (ศ็อลฯ)
สาระสำคัญในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวถึงทั้งศาสนา ปรัชญา ประวัติศาสตร์
สุขศึกษา รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
คัมภีร์อัลกุรอานจึงเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต เมื่อมีความขัดแย้ง
เกิดขึ้นในทางศาสนาอิสลาม จะใช้คัมภีร์อัลกุรอานเป็นแนวทางใน
การตัดสินปัญหา ความลึกซึ้งในภาษามีมากจนปัจจุบันนี้ยังไม่มี
ปราชญ์คนใดเขียนได้ดีเท่า และในคัมภีร์ก็ไม่มีตอนใดที่ขัดแย้งกันเลย
ทั้งๆ ที่นบีมุฮัมมัด ไม่มีความสามารถทั้งในการอ่านและการเขียนหนังสือ
การศรัทธาในคัมภีร์อัลกุรอานทั้งเล่มเป็นหลักการหนึ่งที่มุสลิมทุกคน
ต้องศรัทธา หมายความว่าหากไม่ศรัทธาในอัลกุรอาน หรือศรัทธาบางส่วน
ก็จะเป็นมุสลิมไม่ได้ และต้องศรัทธาว่าคัมภีร์อัลกุรอาน ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นี้มีความบริบูรณ์ภายใต้การพิทักษ์ของอัลลอหฺพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้
จึงไม่มีการสังคายนาอัลกุรอานเลย
17. คัมภีร์อัลกุรอานมาจากที่ใด
อัลลอหฺ ได้ทรงประทานคัมภีร์อัลกรุอานแก่ นบีมุฮัมมัด ซึ่งเป็น
ศาสนทูตคนสุดท้าย และคัมภีร์นี้ก็เป็นคัมภีร์สุดท้ายที่พระผู้เป็นเจ้า
ได้ส่งมาให้แก่มวลมนุษยชาติ หลังจากนี้แล้วจะไม่มีคัมภีร์ใดๆ
จากพระผู้เป็นเจ้าอีก คัมภีร์กรุอานนี้ได้ประทานมาเพื่อยกเลิกคัมภีร์เก่าๆ
ที่เคยได้ทรงประทานมา นั่นคือคัมภีร์เตารอหฺ (Torah) ที่เคยทรงประทาน
มาแก่ศาสดามูซา คัมภีร์ซะบูร (Psalm) ที่เคยทรงประทานมาแก่
ศาสดาดาวูด (David) และ คัมภีร์อินญีล (Evangelis) ที่เคยทรงประทาน
มาแก่ศาสดาอีซา (Jesus) เป็นคัมภีร์ที่บริบูรณ์ไม่มีการเพี้ยนเปลี่ยนแปลง
ภาษาของอัลกุรอานนั้นคือภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นภาษาของศาสดามุฮัมมัด
* * * * *
19 ส.ค. 2554
ศาสนาและหน้าที่พลเมือง-05
1. เป้าหมายของชีวิตในทางพุทธศาสนาเป็นอย่าง
พระพุทธศาสนาวางเป้าหมายชีวิตไว้ 3 ระดับ
1. เป้าหมายระดับพื้นฐาน หมายถึง เป้าหมายประโยชน์ใน
ระดับชีวิตประจำวันที่มนุษย์ในสังคมต้องการ คือ
ขยันหมั่นเพียร, เก็บออมทรัพย์, คบคนดีเป็นเพื่อน, ใช้ทรัพย์เป็น
2. เป้าหมายระดับกลาง เน้นที่ความเจริญงอกงามแห่งจิตใจ คือ
* ศรัทธา เชื่อในพระรัตนตรัย เชื่อในกรรม และผลของกรรม
* ศีล ความประพฤติทางกาย วาจา เรียบร้อย
* จาคะ ความเสียสละ
* ปัญญา รู้อะไรดีอะไรชั่ว
3. เป้าหมายระดับสูงสุด หมายถึง พระนิพพาน
2. ถ้าจะศึกษาพระธรรมคำสอนล้วนๆ ควรศึกษาพระไตรปิฏกหมวดใด
พระอภิธรรมปิฏก
3. หลักธรรมใดที่กล่าวถึงองค์ประกอบของชีวิต
ขันธ์ 5
4. ในคำสอนที่เรียกว่า นามขันธ์ ขอใดที่นำไปสู่ความดีหรือความชั่วก็ได้
สังขาร(ความคิดปรุงแต่ง)
5. ข้อใดจัดเป็นคำสอนที่ทำให้ศาสนาพุทธมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
ไตรลักษณ์
6. หลักธรรมของการเป็นเทพ-เทวดาคือ อะไร
หิริ คือ ความละอายบาป ไม่อยากทำบาป เห็นว่าการทำบาป
เป็นของทำให้ใจของเราเศร้าหมอง
โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวบาปและผลของการทำบาป
7. หลักธรรมแห่งความสำเร็จหรือหลักธรรมแห่งการมีอิทธิฤทธิ์ คือ อะไร
อิทธิบาท 4 แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ เป็นหลักธรรมที่
แนวทางสู่ความสำเร็จของการงานหรือสิ่งที่ตั้งใจ
(ซึ่งต้องทำด้วยตนเอง) ได้แก่
1. ฉันทะ ความพอใจ ความเต็มใจในสิ่งนั้น
2. วิริยะ ความพากเพียรในการกระทำต่อสิ่งนั้น
3. จิตตะ ความเอาใจใส่ เมื่อลงมือทำต่อสิ่งนั้น
4. วิมังสา ความหมั่นตรวจสอบ ดูแล ต่อสิ่งนั้น
8. หลักธรรมของพระราชาหรือนักปกครองมีชื่อว่า อะไร
ทศพิธราชธรรม คือธรรมสำหรับพระราชามี 10 ประการ ดังนี้
1. ทาน หรือการให้
2. ศีล
3. บริจาค ได้แก่ การที่ทรงสละสิ่งไม่เป็นประโยชน์ของเราให้ผู้อื่น
4. ความซื่อตรง (อาชชวะ)
5. ความอ่อนโยน (มัททวะ) หรือเคารพในเหตุผลที่ควร
6. ความเพียร (ตบะ)
7. ความไม่โกรธ (อักโกธะ) หรือความไม่แสดงความโกรธให้ปรากฎ
8. ความไม่เบียดเบียน (อวิหิงสา)
9. ความอดทน (ขันติ)
10. ความเที่ยงธรรม (อวิโรธนะ) คือ การตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ
อยู่บนหลักการของการถูกต้องไม่ใช่ถูกใจ
9. นิกายในพระพุทธศาสนา มีกี่นิกาย
มี 2 นิกาย
1. นิกายเถรวาทหรือหีนยาน (แปลว่ายานเล็ก)หรือหลุดพ้นไปคนเดียว
นิกายนี้จะยึดมั่นและถือคำสอนของพระพุทธเจ้า และพระวินัยตาม
พระไตรปิฎกอย่างเคร่งครัด มีผู้นับถือแพร่หลายได้แก่ ประเทศลังกา
ไทย มอญ พม่า ลาว เขมร เป็นต้น
2. มหายาน (แปลว่ายานใหญ่) นิกายนี้ไม่ยึดถือพระธรรมวินัยอย่าง
เคร่งครัดมากนัก มีการปรับปรุงพระวินัยและคำสอนให้เหมาะสม
กับบุคคลและความเชื่อในท้องถิ่น นิกายนี้มีผู้นับถือในประเทศจีน
เกาหลี ญี่ปุ่น ทิเบต มองโกเลียและเวียดนาม
10. พระเจ้าอโศกมหาราช คือ ใคร
พระเจ้าอโศกมหาราชนั้น เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์โมริยะ
ครองราชสมบัติ ณ พระนครปาฏลีบุตร ตั้งแต่ พ.ศ. 260
11. พระเจ้าอโศกมหาราช มีความสำคัญอย่างไรกับพระพุทธศาสนา
หลังจากที่พระองค์ได้ทำสงครามครั้งใหญ่มีผู้คนล้มตายมากมาย
ทำให้พระองค์ทรงสลดใจมาก ครั้งหนึ่งได้ทรงสดับคำสอนในพุทธศาสนา
แล้วเกิดทรงเลื่อมใส จึงหันมาทำนุบำรุงพระศาสนาด้วยการ
1. สร้างมหาวิหาร 84,000 แห่งทั่วราชอาณาจักร
2. ทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระวินัยครั้งที่ 3 เป็นการประชุม
คณะสงฆ์เพื่อตรวจทานและจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้ามีขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 234 ใช้เวลา 9 เดือน
3. ทรงการส่งศาสนทูตออกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาใน
ประเทศต่างๆ และซึ่งเป็นการเผยแพร่พระพุทธศาสนา
เข้าสู่ดินแดนประเทศไทยในปัจจุบันครั้งแรก
* * * * *
พระพุทธศาสนาวางเป้าหมายชีวิตไว้ 3 ระดับ
1. เป้าหมายระดับพื้นฐาน หมายถึง เป้าหมายประโยชน์ใน
ระดับชีวิตประจำวันที่มนุษย์ในสังคมต้องการ คือ
ขยันหมั่นเพียร, เก็บออมทรัพย์, คบคนดีเป็นเพื่อน, ใช้ทรัพย์เป็น
2. เป้าหมายระดับกลาง เน้นที่ความเจริญงอกงามแห่งจิตใจ คือ
* ศรัทธา เชื่อในพระรัตนตรัย เชื่อในกรรม และผลของกรรม
* ศีล ความประพฤติทางกาย วาจา เรียบร้อย
* จาคะ ความเสียสละ
* ปัญญา รู้อะไรดีอะไรชั่ว
3. เป้าหมายระดับสูงสุด หมายถึง พระนิพพาน
2. ถ้าจะศึกษาพระธรรมคำสอนล้วนๆ ควรศึกษาพระไตรปิฏกหมวดใด
พระอภิธรรมปิฏก
3. หลักธรรมใดที่กล่าวถึงองค์ประกอบของชีวิต
ขันธ์ 5
4. ในคำสอนที่เรียกว่า นามขันธ์ ขอใดที่นำไปสู่ความดีหรือความชั่วก็ได้
สังขาร(ความคิดปรุงแต่ง)
5. ข้อใดจัดเป็นคำสอนที่ทำให้ศาสนาพุทธมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
ไตรลักษณ์
6. หลักธรรมของการเป็นเทพ-เทวดาคือ อะไร
หิริ คือ ความละอายบาป ไม่อยากทำบาป เห็นว่าการทำบาป
เป็นของทำให้ใจของเราเศร้าหมอง
โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวบาปและผลของการทำบาป
7. หลักธรรมแห่งความสำเร็จหรือหลักธรรมแห่งการมีอิทธิฤทธิ์ คือ อะไร
อิทธิบาท 4 แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ เป็นหลักธรรมที่
แนวทางสู่ความสำเร็จของการงานหรือสิ่งที่ตั้งใจ
(ซึ่งต้องทำด้วยตนเอง) ได้แก่
1. ฉันทะ ความพอใจ ความเต็มใจในสิ่งนั้น
2. วิริยะ ความพากเพียรในการกระทำต่อสิ่งนั้น
3. จิตตะ ความเอาใจใส่ เมื่อลงมือทำต่อสิ่งนั้น
4. วิมังสา ความหมั่นตรวจสอบ ดูแล ต่อสิ่งนั้น
8. หลักธรรมของพระราชาหรือนักปกครองมีชื่อว่า อะไร
ทศพิธราชธรรม คือธรรมสำหรับพระราชามี 10 ประการ ดังนี้
1. ทาน หรือการให้
2. ศีล
3. บริจาค ได้แก่ การที่ทรงสละสิ่งไม่เป็นประโยชน์ของเราให้ผู้อื่น
4. ความซื่อตรง (อาชชวะ)
5. ความอ่อนโยน (มัททวะ) หรือเคารพในเหตุผลที่ควร
6. ความเพียร (ตบะ)
7. ความไม่โกรธ (อักโกธะ) หรือความไม่แสดงความโกรธให้ปรากฎ
8. ความไม่เบียดเบียน (อวิหิงสา)
9. ความอดทน (ขันติ)
10. ความเที่ยงธรรม (อวิโรธนะ) คือ การตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ
อยู่บนหลักการของการถูกต้องไม่ใช่ถูกใจ
9. นิกายในพระพุทธศาสนา มีกี่นิกาย
มี 2 นิกาย
1. นิกายเถรวาทหรือหีนยาน (แปลว่ายานเล็ก)หรือหลุดพ้นไปคนเดียว
นิกายนี้จะยึดมั่นและถือคำสอนของพระพุทธเจ้า และพระวินัยตาม
พระไตรปิฎกอย่างเคร่งครัด มีผู้นับถือแพร่หลายได้แก่ ประเทศลังกา
ไทย มอญ พม่า ลาว เขมร เป็นต้น
2. มหายาน (แปลว่ายานใหญ่) นิกายนี้ไม่ยึดถือพระธรรมวินัยอย่าง
เคร่งครัดมากนัก มีการปรับปรุงพระวินัยและคำสอนให้เหมาะสม
กับบุคคลและความเชื่อในท้องถิ่น นิกายนี้มีผู้นับถือในประเทศจีน
เกาหลี ญี่ปุ่น ทิเบต มองโกเลียและเวียดนาม
10. พระเจ้าอโศกมหาราช คือ ใคร
พระเจ้าอโศกมหาราชนั้น เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์โมริยะ
ครองราชสมบัติ ณ พระนครปาฏลีบุตร ตั้งแต่ พ.ศ. 260
11. พระเจ้าอโศกมหาราช มีความสำคัญอย่างไรกับพระพุทธศาสนา
หลังจากที่พระองค์ได้ทำสงครามครั้งใหญ่มีผู้คนล้มตายมากมาย
ทำให้พระองค์ทรงสลดใจมาก ครั้งหนึ่งได้ทรงสดับคำสอนในพุทธศาสนา
แล้วเกิดทรงเลื่อมใส จึงหันมาทำนุบำรุงพระศาสนาด้วยการ
1. สร้างมหาวิหาร 84,000 แห่งทั่วราชอาณาจักร
2. ทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระวินัยครั้งที่ 3 เป็นการประชุม
คณะสงฆ์เพื่อตรวจทานและจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้ามีขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 234 ใช้เวลา 9 เดือน
3. ทรงการส่งศาสนทูตออกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาใน
ประเทศต่างๆ และซึ่งเป็นการเผยแพร่พระพุทธศาสนา
เข้าสู่ดินแดนประเทศไทยในปัจจุบันครั้งแรก
* * * * *
ศาสนาและหน้าที่พลเมือง-04
1. คำว่า ศีล ในทางพระพุทธศาสนาแปลว่า อะไร
ศีล (Morality) แปลว่าความปกติ
การรักษาศีล ก็คือความตั้งใจรักษาความเป็นปกติของตน
2. ศีล 5 ได้แก่อะไรบ้าง
1. พึงละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถึงการเบียดเบียน การประทุษร้าย
ผู้อื่นให้ได้รับความเจ็บปวดและทรมานทั้งทางการและจิตใจ
2. พึงละเว้นจากการขโมย ฉ้อฉล ด้วยการคดโกงเพื่อหวังในทรัพย์สินของผู้อื่น
3. พึงละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
4. พึงละเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด นินทา เพ้อเจ้อ ให้ร้ายผู้อื่น
5. พึงละเว้นจากการดื่มเครื่องดองของเมา
3. การรักษาศีล 5 มีประโยชน์ อย่างไรบ้าง
มีประโยชน์โดยรวม 2 ด้านคือ
1) ทำให้เกิดความสงบในสังคม เป็นการป้องกันการล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
ทำให้ไม่เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ความหวาดระแวงและความวุ่นวายในสังคม
2) เพื่อพัฒนาจิตใจของผู้ที่ถือศีลนั้นเอง เพราะการรักษาศีลเป็น
การควบคุมกายหรือทางวาจา ไม่ให้ตอบสนองอำนาจของกิเลส
4. ขันธ์ 5 คือ อะไร
ขันธ์ 5 (เบญจขันธ์) คือ องค์ประกอบของชีวิตมนุษย์ที่
ประกอบด้วยรูปและนาม
รูป คือ ส่วนที่เป็นร่างกาย ประกอบด้วยธาตุ 4 ได้แก่ ดิน,น้ำ, ลม, ไฟ
นาม คือ ส่วนที่มองไม่เห็นหรือจิตใจ ได้แก่
1. เวทนา คือ ความรู้สึกที่เกิดจากประสาทสัมผัส
2. สัญญา คือ ความจำได้โดยอาศัยประสาทสัมผัส
3. สังขาร คือ สภาพที่ปรุงแต่งจิตใจให้คิดดี คิดชั่ว หรือเป็นกลาง
4. วิญญาณ คือ ความรับรู้ที่ผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะ 6)
5. อริยสัจ 4 หมายถึง อะไร
อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ เป็นหลักคำสอนที่สำคัญที่สุด
ของพระพุทธศาสนา เพราะเป็นคำสอนที่จะช่วยให้บุคคลรอดพ้นจาก
ความทุกข์เพื่อสู่นิพพาน ได้แก่
1. ทุกข์ (ตัวปัญหา) หมายถึง สภาพที่ทนได้ยากทั้งร่างกายและจิตใจ
1.1 ทุกข์ประจำ ได้แก่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
1.2 ทุกข์จร เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไปและเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เช่น ความเศร้าโศก ความคับแค้นใจ ความโกรธ ความรัก
2. สมุทัย (สาเหตุของปัญหา) หมายถึง เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
ได้แก่ ตัณหา (ความอยาก)
2.1 กามตัณหา คือ อยากในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ตนยังไม่มี
2.2 ภวตัณหา คือ ความอยากมี อยากเป็น
2.3 วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น
3. นิโรธ (การแก้ปัญหา)หมายถึง ความดับทุกข์ คือ ให้ดับที่เหตุ
ซึ่งมีขั้นตอนตามลำดับในมรรค 8
4. มรรค (วิธีการแก้ปัญหา) มีองค์ 8 หนทางแห่งการดับทุกข์ที่ต้องทำร่วมกัน
4.1 สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ คือ การมองความเห็นในสิ่งต่างๆที่ถูกต้อง
4.2 สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ คือ การมีความเห็นในทางที่ถูกต้อง
4.3 สัมมาวาจา วาจาชอบ คือ ไม่พูดเท็จ ส่อเสียด หยาบคาย เพ้อเจ้อ
4.4 สัมมากัมมันตะ การงานชอบ คือ การดำเนินชีวิตหรือใช้ชีวิตประจำวัน
อย่างทุกต้อง ตามบทบาทหน้าที่
4.5 สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ คือ การทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริต
4.6 สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ คือ เพียรระวังมิให้ความชั่วที่ยังไม่เกิดขึ้น
4.7 สัมมาสติ ความระลึกชอบ คือ การมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา
4.8 สัมมาสมาธิ การตั้งใจชอบ คือ การตั้งจิตที่แน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่านเพื่อมุ่งทำดี
6. อริยสัจ 4 มีความสำคัญอย่างไร
1. เป็นหลักธรรมที่ครอบคลุมหลักธรรมอื่นทั้งหมดในพระพุทธศาสนา
2. เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับหลักวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ที่สามารถพิสูจน์ได้
3. คำสอนที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหา
ของตนเองได้ ตามหลักความจริงแห่งธรรมชาติโดยไม่ต้องขอสิ่งใด
7. ไตรลักษณ์ คืออะไร
ไตรลักษณ์ คือ ลักษณะทั่วไปของสิ่งทั้งปวง
1. อนิจจัง ความไม่คงที่ ไม่แน่นอน ของสิ่งต่างๆทั้งรูปธรรมและนามธรรม
2. ทุกขัง สภาพที่อยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้ ต้องแปรปรวนไป และต้องอดทน
3. อนัตตา ความไม่มีตัวตนแท้จริง บังคับไม่ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้
8. กรรม คือ อะไร
กรรม คือ การกระทำทางกาย วาจา หรือใจ ที่ประกอบด้วยเจตนา(ความตั้งใจ)
9. พรหมวิหาร 4 คืออะไร
พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมสำหรับผู้เป็นใหญ่ ผู้ปกครอง พ่อแม่ ได้แก่
1. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้เป็นสุข
2. กรุณา ความสงสาร ต้องการที่จะช่วยบุคคลอื่น ให้พ้นจากความทุกข์
3. มุทิตา ความชื่นชมยินดีเมื่อเห็นบุคคลอื่นเขาได้ดี
4. อุเบกขา ความวางเฉยไม่ดีใจไม่เสียใจ เมื่อบุคคลอื่นประสบความวิบัติ
10. สังคหวัตถุ 4 คือ อะไร
สังคหวัตถุ 4 คือหลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจคน
1. ทาน การให้
2. ปิยวาจา การกล่าวถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน
3. อัตถจริยา การทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น
4. สมานัตตตา การประพฤติตนสม่ำเสมอทั้งต่อหน้าและลับหลัง
11. ฆราวาสธรรม 4 คือ อะไร
หลักธรรมสำหรับผู้ครองเรือน ได้แก่
1. สัจจะ การมีความซื่อตรงต่อกัน
2. ทมะ การรู้จักข่มจิตของตน ไม่หุนหันพลันแล่น
3. ขันติ ความอดทนและให้อภัย
4. จาคะ การเสียสละแบ่งปันของตนแก่คนที่ควรแบ่งปัน
12. บุญกิริยาวัตถุ 10 คือ อะไร
บุญกิริยาวัตถุ 10 คือ หลักธรรมแห่งการทำบุญทางแห่ง
การทำความดี 10 ประการ
1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
2. ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
3. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
4. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
5. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ
6. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
7. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
8. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
9. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
10. ทิฏฐุชุกัมม์ บุญสำเร็จด้วยการทำความคิดความเห็นของตนให้ตรง
13. สัปปุริสธรรม 7 คือ อะไร
สัปปุริสธรรม 7 คือหลักธรรมของคนดี หรือคุณสมบัติของคนดี
1. ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเหตุ
2. อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผล
3. อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตน
4. มัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณ
5. กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลา
6. ปริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักชุมชน
7. ปุคคลปโรปรัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเลือกคบคนดี
* * * * *
ศีล (Morality) แปลว่าความปกติ
การรักษาศีล ก็คือความตั้งใจรักษาความเป็นปกติของตน
2. ศีล 5 ได้แก่อะไรบ้าง
1. พึงละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถึงการเบียดเบียน การประทุษร้าย
ผู้อื่นให้ได้รับความเจ็บปวดและทรมานทั้งทางการและจิตใจ
2. พึงละเว้นจากการขโมย ฉ้อฉล ด้วยการคดโกงเพื่อหวังในทรัพย์สินของผู้อื่น
3. พึงละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
4. พึงละเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด นินทา เพ้อเจ้อ ให้ร้ายผู้อื่น
5. พึงละเว้นจากการดื่มเครื่องดองของเมา
3. การรักษาศีล 5 มีประโยชน์ อย่างไรบ้าง
มีประโยชน์โดยรวม 2 ด้านคือ
1) ทำให้เกิดความสงบในสังคม เป็นการป้องกันการล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
ทำให้ไม่เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ความหวาดระแวงและความวุ่นวายในสังคม
2) เพื่อพัฒนาจิตใจของผู้ที่ถือศีลนั้นเอง เพราะการรักษาศีลเป็น
การควบคุมกายหรือทางวาจา ไม่ให้ตอบสนองอำนาจของกิเลส
4. ขันธ์ 5 คือ อะไร
ขันธ์ 5 (เบญจขันธ์) คือ องค์ประกอบของชีวิตมนุษย์ที่
ประกอบด้วยรูปและนาม
รูป คือ ส่วนที่เป็นร่างกาย ประกอบด้วยธาตุ 4 ได้แก่ ดิน,น้ำ, ลม, ไฟ
นาม คือ ส่วนที่มองไม่เห็นหรือจิตใจ ได้แก่
1. เวทนา คือ ความรู้สึกที่เกิดจากประสาทสัมผัส
2. สัญญา คือ ความจำได้โดยอาศัยประสาทสัมผัส
3. สังขาร คือ สภาพที่ปรุงแต่งจิตใจให้คิดดี คิดชั่ว หรือเป็นกลาง
4. วิญญาณ คือ ความรับรู้ที่ผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะ 6)
5. อริยสัจ 4 หมายถึง อะไร
อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ เป็นหลักคำสอนที่สำคัญที่สุด
ของพระพุทธศาสนา เพราะเป็นคำสอนที่จะช่วยให้บุคคลรอดพ้นจาก
ความทุกข์เพื่อสู่นิพพาน ได้แก่
1. ทุกข์ (ตัวปัญหา) หมายถึง สภาพที่ทนได้ยากทั้งร่างกายและจิตใจ
1.1 ทุกข์ประจำ ได้แก่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
1.2 ทุกข์จร เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไปและเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เช่น ความเศร้าโศก ความคับแค้นใจ ความโกรธ ความรัก
2. สมุทัย (สาเหตุของปัญหา) หมายถึง เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
ได้แก่ ตัณหา (ความอยาก)
2.1 กามตัณหา คือ อยากในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ตนยังไม่มี
2.2 ภวตัณหา คือ ความอยากมี อยากเป็น
2.3 วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น
3. นิโรธ (การแก้ปัญหา)หมายถึง ความดับทุกข์ คือ ให้ดับที่เหตุ
ซึ่งมีขั้นตอนตามลำดับในมรรค 8
4. มรรค (วิธีการแก้ปัญหา) มีองค์ 8 หนทางแห่งการดับทุกข์ที่ต้องทำร่วมกัน
4.1 สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ คือ การมองความเห็นในสิ่งต่างๆที่ถูกต้อง
4.2 สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ คือ การมีความเห็นในทางที่ถูกต้อง
4.3 สัมมาวาจา วาจาชอบ คือ ไม่พูดเท็จ ส่อเสียด หยาบคาย เพ้อเจ้อ
4.4 สัมมากัมมันตะ การงานชอบ คือ การดำเนินชีวิตหรือใช้ชีวิตประจำวัน
อย่างทุกต้อง ตามบทบาทหน้าที่
4.5 สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ คือ การทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริต
4.6 สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ คือ เพียรระวังมิให้ความชั่วที่ยังไม่เกิดขึ้น
4.7 สัมมาสติ ความระลึกชอบ คือ การมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา
4.8 สัมมาสมาธิ การตั้งใจชอบ คือ การตั้งจิตที่แน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่านเพื่อมุ่งทำดี
6. อริยสัจ 4 มีความสำคัญอย่างไร
1. เป็นหลักธรรมที่ครอบคลุมหลักธรรมอื่นทั้งหมดในพระพุทธศาสนา
2. เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับหลักวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ที่สามารถพิสูจน์ได้
3. คำสอนที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหา
ของตนเองได้ ตามหลักความจริงแห่งธรรมชาติโดยไม่ต้องขอสิ่งใด
7. ไตรลักษณ์ คืออะไร
ไตรลักษณ์ คือ ลักษณะทั่วไปของสิ่งทั้งปวง
1. อนิจจัง ความไม่คงที่ ไม่แน่นอน ของสิ่งต่างๆทั้งรูปธรรมและนามธรรม
2. ทุกขัง สภาพที่อยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้ ต้องแปรปรวนไป และต้องอดทน
3. อนัตตา ความไม่มีตัวตนแท้จริง บังคับไม่ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้
8. กรรม คือ อะไร
กรรม คือ การกระทำทางกาย วาจา หรือใจ ที่ประกอบด้วยเจตนา(ความตั้งใจ)
9. พรหมวิหาร 4 คืออะไร
พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมสำหรับผู้เป็นใหญ่ ผู้ปกครอง พ่อแม่ ได้แก่
1. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้เป็นสุข
2. กรุณา ความสงสาร ต้องการที่จะช่วยบุคคลอื่น ให้พ้นจากความทุกข์
3. มุทิตา ความชื่นชมยินดีเมื่อเห็นบุคคลอื่นเขาได้ดี
4. อุเบกขา ความวางเฉยไม่ดีใจไม่เสียใจ เมื่อบุคคลอื่นประสบความวิบัติ
10. สังคหวัตถุ 4 คือ อะไร
สังคหวัตถุ 4 คือหลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจคน
1. ทาน การให้
2. ปิยวาจา การกล่าวถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน
3. อัตถจริยา การทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น
4. สมานัตตตา การประพฤติตนสม่ำเสมอทั้งต่อหน้าและลับหลัง
11. ฆราวาสธรรม 4 คือ อะไร
หลักธรรมสำหรับผู้ครองเรือน ได้แก่
1. สัจจะ การมีความซื่อตรงต่อกัน
2. ทมะ การรู้จักข่มจิตของตน ไม่หุนหันพลันแล่น
3. ขันติ ความอดทนและให้อภัย
4. จาคะ การเสียสละแบ่งปันของตนแก่คนที่ควรแบ่งปัน
12. บุญกิริยาวัตถุ 10 คือ อะไร
บุญกิริยาวัตถุ 10 คือ หลักธรรมแห่งการทำบุญทางแห่ง
การทำความดี 10 ประการ
1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
2. ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
3. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
4. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
5. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ
6. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
7. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
8. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
9. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
10. ทิฏฐุชุกัมม์ บุญสำเร็จด้วยการทำความคิดความเห็นของตนให้ตรง
13. สัปปุริสธรรม 7 คือ อะไร
สัปปุริสธรรม 7 คือหลักธรรมของคนดี หรือคุณสมบัติของคนดี
1. ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเหตุ
2. อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผล
3. อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตน
4. มัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณ
5. กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลา
6. ปริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักชุมชน
7. ปุคคลปโรปรัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเลือกคบคนดี
* * * * *
ศาสนาและหน้าที่พลเมือง-03
มาดูคำถาม-คำตอบในวิชาศาสนาและหน้าที่พลเมือง กันต่อ
1. วันวิสาขบูชา มีความสำคัญอย่างไร
วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
ซึ่งเกิดขึ้นในวันและเดือนเดียวกัน คือ ในวันเพ็ญ(ขึ้น 15 ค่ำ)
เดือนหก หรือเดือนวิสาขะ
2. วันอาสาฬหบูชา คือ วันอะไร
วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พุทธเจ้าได้แสดง พระปฐมเทศนาหรือ
การแสดงพระธรรมครั้งแรก หลังจากที่ตรัสรู้ได้ 2 เดือน เป็นวันที่
เริ่มต้นของการมีพระพุทธศาสนาเนื่องจากมีพระรัตนตรัยครบคือ
พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ในวันเพ็ญ (ขึ้น 15ค่ำ) เดือน 8
3. การแสดงพระปฐมเทศนาพุทธเจ้าที่ใด แก่ใคร
การแสดงพระปฐมเทศนา ได้ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ ณ
ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันคือสารนาถ
เมืองพาราณสี แก่ปัญจวัคคีย์ (ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ
ภัททิยะ มหานามะและอัสสชิ)
4. การแสดงพระปฐมเทศนาพุทธเจ้าได้แสดงหลักธรรมชื่อว่าอะไร
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
5. ใครที่ได้ธรรมจักษุ คนแรกหลังการการแสดงพระปฐมเทศนา
พระโกณฑัญญะ เป็นคนแรกที่ได้มองตาเห็นธรรม โดยได้กล่าวว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
6. คำว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า อะไร
สูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรม
7. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีใจความสำคัญว่าอะไร
ที่สุด 2 อย่างที่บรรพชิตไม่ควรประพฤติปฏิบัติคือ การประกอบตน
ให้อยู่ในความสุขด้วยกาม ซึ่งเป็นธรรมอันเลวเป็นของชาวบ้าน
เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ที่สุดอีกทางหนึ่งคือ การประกอบการทรมานตนให้เกิดความลำบาก
ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
เดินตามทางสายกลางและอริยสัจสี่ คือความจริงอันประเสริฐที่
พระองค์ค้นพบ มี 4 ประการได้แก่
ทุกข์ หรือ ความทุกข์ ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย
ความได้พบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น ว่าโดยย่อ อุปาทานในขันธ์ 5 เป็นทุกข์
สมุทัย หรือ สาเหตุแห่งทุกข์ ได้แก่ ตัณหาความทะยานอยาก
อันทำให้เกิดอีกความกำหนัด เพลิดเพลินในอารมณ์ คือกามตัณหา
ความทะยานอยากในกาม ภวตัณหา ความทะยานในภพ วิภวตัณหา
ความทะยานอยากในความไม่มีภพ
นิโรธ หรือ ความดับทุกข์ โดยการดับตัณหาด้วยอริยมรรค
คือ วิราคะ สละ ดับ ปล่อยไป ไม่พัวพัน
มรรค หรือ หนทางปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ
ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การเจรจาชอบ การกระทำชอบ
การเลี้ยงชีพชอบ ความพยายามชอบ การระลึกชอบ และการตั้งจิตมั่นชอบ
8. วันอาสาฬหบูชามีเหตุการณ์สำคัญอย่างไร
วันอาสาฬหบูชามีสำคัญ 3 ข้อคือ
1. เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา โดยทาง
แสดงพระปฐมเทศนา คือ ธรรมจักกัปปวัตนสูตร
2. เป็นวันแรกที่บังเกิดพระอริยสงฆ์สาวกขึ้นในโลก คือ
พระโกณฑัญญะ
3. เป็นวันแรกที่เกิดพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ
พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ
9. วันมาฆบูชา คือวันอะไร
วันมาฆบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทที่เป็นหัวใจ
ของคำสอนในพระพุทธศาสนา คือ โอวาทปาฏิโมกข์ ในวันเพ็ญ
(ขึ้น 15ค่ำ) เดือนสาม แต่ถ้าปีใดมี อธิกมาส คือ เดือนแปดสองแปด
วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันเพ็ญกลางเดือนสี่ เหตุการณ์ดังกล่าว
เกิดขึ้นที่ พระเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ รัฐมคธ ในปีแรกของการตรัสรู้
ของพระพุทธองค์ คือ หลังจากตรัสรู้แล้วได้ 9 เดือน
10. วันมาฆบูชา มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
ในวันนี้มีเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ มี 4 อย่างคือ
1. เป็นการมาชุมนุมกันของพระสงฆ์สาวก จำนวน 1,250 รูป
เพื่อเฝ้าพระพุทธองค์ โดยมิได้นัดหมาย
2. พระสงฆ์สาวกดังกล่าวล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
3. พระสงฆ์สาวกดังกล่าวล้วนแต่ได้รับการอุปสมบทจาก
พระพุทธเจ้าด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา
4. วันนั้นดวงจันทร์เพ็ญเสวยมาฆฤกษ์เต็มบริบูรณ์
เหตุบังเอิญทั้ง 4 อย่างนี้จึงเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต
11. โอวาทปาฏิโมกข์ มีใจความสำคัญอย่างไร
1. ขันตี คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง
2. พระนิพพานว่าเป็นธรรมอันยิ่ง
3. ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย
4. การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
5. การทำความดีให้ถึงพร้อม
6. การทำใจให้สะอาดบริสุทธิ์
7. การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้าย
8. การสำรวมในปาติโมกข์
9. ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค
10. การนอน การนั่ง ในที่อันสงัด
11. ความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง
12. วันเข้าพรรษา คือ วันอะไร
วันเข้าพรรษา เป็นวันที่พระสงฆ์เริ่มอยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือน
ในฤดูฝน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 จนถึงกลางเดือน 11
13. กิจกรรมอันเนื่องมาจากวันเข้าพรรษาได้แก่อะไรบ้าง
สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่พระภิกษุสงฆ์
จะมีการประชุมกันในพระอุโบสถ ไหว้พระสวดมนต์ ขอขมา
ซึ่งกันและกัน เสร็จแล้วก็ประกอบพิธีเข้าพรรษา ภิกษุจะอธิษฐาน
ใจตนเองว่า ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษานี้ตนเองจะไม่ไปไหน
และอยู่จำพรรษาเพื่อการศึกษาหลักธรรมและพระวินัยร่วมกัน
สำหรับฆราวาส มีประกอบพิธีต่างๆเนื่องในวันเข้าพรรษา มาตั้งแต่
สมัยกรุงสุโขทัย ซึ่งมีทั้ง พิธีหลวงและพิธีราษฎร์ ในปัจจุบัน ได้แก่
การแห่และการถวายเทียนพรรษา การถวาย ผ้าอาบน้ำฝน การอธิษฐาน
ตนว่าจะประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม
ตามระยะเวลาที่กำหนด
14. วันออกพรรษา คือวันอะไร
1. วันออกพรรษา ตรงกับวันเพ็ญ (ขึ้น 15 ค่ำ) เดือน 11 เป็นวันที่
พระภิกษุสงฆ์ยุติการอยู่ประจำที่ตลอดฤดูฝน เป็นระยะเวลา
3 เดือนสามารถจาริกไปในที่ต่าง ๆ และค้างแรมในที่อื่นได้
2. เป็นวันที่มีการทำปวารณาในหมู่พระภิกษุสงฆ คือให้พระภิกษุสงฆ์
ทำปวารณาแทนการทำอุโบสถ์สังฆกรรม ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน
ซึ่งกันและกัน
3. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่
แสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา ได้เสด็จลงมา
ณ เมืองสังกัสสะ บรรดาพุทธศาสนิกชนจึงพากันไปตักบาตรแด่
พระพุทธเจ้า เรียกว่า ตักบาตรเทโว คำเต็มคือ ตักบาตรเทโวโรหนะ.
คำว่าเทโวโรหนะ แปลว่า การหยั่งลงจากเทวโลก
15. กิจกรรมอันเนื่องมาจากวันเข้าพรรษาได้แก่อะไรบ้าง
1. การตักบาตรเทโว
2. การถวายผ้าจำนำพรรษา และพิธีทอดกฐิน ซึ่งจะกระทำกัน
หลังวันออกพรรษาไปได้อีกถึง วันเพ็ญ กลางเดือน 12
* * * * *
1. วันวิสาขบูชา มีความสำคัญอย่างไร
วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
ซึ่งเกิดขึ้นในวันและเดือนเดียวกัน คือ ในวันเพ็ญ(ขึ้น 15 ค่ำ)
เดือนหก หรือเดือนวิสาขะ
2. วันอาสาฬหบูชา คือ วันอะไร
วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พุทธเจ้าได้แสดง พระปฐมเทศนาหรือ
การแสดงพระธรรมครั้งแรก หลังจากที่ตรัสรู้ได้ 2 เดือน เป็นวันที่
เริ่มต้นของการมีพระพุทธศาสนาเนื่องจากมีพระรัตนตรัยครบคือ
พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ในวันเพ็ญ (ขึ้น 15ค่ำ) เดือน 8
3. การแสดงพระปฐมเทศนาพุทธเจ้าที่ใด แก่ใคร
การแสดงพระปฐมเทศนา ได้ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ ณ
ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันคือสารนาถ
เมืองพาราณสี แก่ปัญจวัคคีย์ (ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ
ภัททิยะ มหานามะและอัสสชิ)
4. การแสดงพระปฐมเทศนาพุทธเจ้าได้แสดงหลักธรรมชื่อว่าอะไร
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
5. ใครที่ได้ธรรมจักษุ คนแรกหลังการการแสดงพระปฐมเทศนา
พระโกณฑัญญะ เป็นคนแรกที่ได้มองตาเห็นธรรม โดยได้กล่าวว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
6. คำว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า อะไร
สูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรม
7. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีใจความสำคัญว่าอะไร
ที่สุด 2 อย่างที่บรรพชิตไม่ควรประพฤติปฏิบัติคือ การประกอบตน
ให้อยู่ในความสุขด้วยกาม ซึ่งเป็นธรรมอันเลวเป็นของชาวบ้าน
เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ที่สุดอีกทางหนึ่งคือ การประกอบการทรมานตนให้เกิดความลำบาก
ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
เดินตามทางสายกลางและอริยสัจสี่ คือความจริงอันประเสริฐที่
พระองค์ค้นพบ มี 4 ประการได้แก่
ทุกข์ หรือ ความทุกข์ ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย
ความได้พบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น ว่าโดยย่อ อุปาทานในขันธ์ 5 เป็นทุกข์
สมุทัย หรือ สาเหตุแห่งทุกข์ ได้แก่ ตัณหาความทะยานอยาก
อันทำให้เกิดอีกความกำหนัด เพลิดเพลินในอารมณ์ คือกามตัณหา
ความทะยานอยากในกาม ภวตัณหา ความทะยานในภพ วิภวตัณหา
ความทะยานอยากในความไม่มีภพ
นิโรธ หรือ ความดับทุกข์ โดยการดับตัณหาด้วยอริยมรรค
คือ วิราคะ สละ ดับ ปล่อยไป ไม่พัวพัน
มรรค หรือ หนทางปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ
ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การเจรจาชอบ การกระทำชอบ
การเลี้ยงชีพชอบ ความพยายามชอบ การระลึกชอบ และการตั้งจิตมั่นชอบ
8. วันอาสาฬหบูชามีเหตุการณ์สำคัญอย่างไร
วันอาสาฬหบูชามีสำคัญ 3 ข้อคือ
1. เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา โดยทาง
แสดงพระปฐมเทศนา คือ ธรรมจักกัปปวัตนสูตร
2. เป็นวันแรกที่บังเกิดพระอริยสงฆ์สาวกขึ้นในโลก คือ
พระโกณฑัญญะ
3. เป็นวันแรกที่เกิดพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ
พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ
9. วันมาฆบูชา คือวันอะไร
วันมาฆบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทที่เป็นหัวใจ
ของคำสอนในพระพุทธศาสนา คือ โอวาทปาฏิโมกข์ ในวันเพ็ญ
(ขึ้น 15ค่ำ) เดือนสาม แต่ถ้าปีใดมี อธิกมาส คือ เดือนแปดสองแปด
วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันเพ็ญกลางเดือนสี่ เหตุการณ์ดังกล่าว
เกิดขึ้นที่ พระเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ รัฐมคธ ในปีแรกของการตรัสรู้
ของพระพุทธองค์ คือ หลังจากตรัสรู้แล้วได้ 9 เดือน
10. วันมาฆบูชา มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
ในวันนี้มีเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ มี 4 อย่างคือ
1. เป็นการมาชุมนุมกันของพระสงฆ์สาวก จำนวน 1,250 รูป
เพื่อเฝ้าพระพุทธองค์ โดยมิได้นัดหมาย
2. พระสงฆ์สาวกดังกล่าวล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
3. พระสงฆ์สาวกดังกล่าวล้วนแต่ได้รับการอุปสมบทจาก
พระพุทธเจ้าด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา
4. วันนั้นดวงจันทร์เพ็ญเสวยมาฆฤกษ์เต็มบริบูรณ์
เหตุบังเอิญทั้ง 4 อย่างนี้จึงเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต
11. โอวาทปาฏิโมกข์ มีใจความสำคัญอย่างไร
1. ขันตี คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง
2. พระนิพพานว่าเป็นธรรมอันยิ่ง
3. ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย
4. การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
5. การทำความดีให้ถึงพร้อม
6. การทำใจให้สะอาดบริสุทธิ์
7. การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้าย
8. การสำรวมในปาติโมกข์
9. ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค
10. การนอน การนั่ง ในที่อันสงัด
11. ความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง
12. วันเข้าพรรษา คือ วันอะไร
วันเข้าพรรษา เป็นวันที่พระสงฆ์เริ่มอยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือน
ในฤดูฝน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 จนถึงกลางเดือน 11
13. กิจกรรมอันเนื่องมาจากวันเข้าพรรษาได้แก่อะไรบ้าง
สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่พระภิกษุสงฆ์
จะมีการประชุมกันในพระอุโบสถ ไหว้พระสวดมนต์ ขอขมา
ซึ่งกันและกัน เสร็จแล้วก็ประกอบพิธีเข้าพรรษา ภิกษุจะอธิษฐาน
ใจตนเองว่า ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษานี้ตนเองจะไม่ไปไหน
และอยู่จำพรรษาเพื่อการศึกษาหลักธรรมและพระวินัยร่วมกัน
สำหรับฆราวาส มีประกอบพิธีต่างๆเนื่องในวันเข้าพรรษา มาตั้งแต่
สมัยกรุงสุโขทัย ซึ่งมีทั้ง พิธีหลวงและพิธีราษฎร์ ในปัจจุบัน ได้แก่
การแห่และการถวายเทียนพรรษา การถวาย ผ้าอาบน้ำฝน การอธิษฐาน
ตนว่าจะประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม
ตามระยะเวลาที่กำหนด
14. วันออกพรรษา คือวันอะไร
1. วันออกพรรษา ตรงกับวันเพ็ญ (ขึ้น 15 ค่ำ) เดือน 11 เป็นวันที่
พระภิกษุสงฆ์ยุติการอยู่ประจำที่ตลอดฤดูฝน เป็นระยะเวลา
3 เดือนสามารถจาริกไปในที่ต่าง ๆ และค้างแรมในที่อื่นได้
2. เป็นวันที่มีการทำปวารณาในหมู่พระภิกษุสงฆ คือให้พระภิกษุสงฆ์
ทำปวารณาแทนการทำอุโบสถ์สังฆกรรม ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน
ซึ่งกันและกัน
3. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่
แสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา ได้เสด็จลงมา
ณ เมืองสังกัสสะ บรรดาพุทธศาสนิกชนจึงพากันไปตักบาตรแด่
พระพุทธเจ้า เรียกว่า ตักบาตรเทโว คำเต็มคือ ตักบาตรเทโวโรหนะ.
คำว่าเทโวโรหนะ แปลว่า การหยั่งลงจากเทวโลก
15. กิจกรรมอันเนื่องมาจากวันเข้าพรรษาได้แก่อะไรบ้าง
1. การตักบาตรเทโว
2. การถวายผ้าจำนำพรรษา และพิธีทอดกฐิน ซึ่งจะกระทำกัน
หลังวันออกพรรษาไปได้อีกถึง วันเพ็ญ กลางเดือน 12
* * * * *
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)